เชียงใหม่
ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติล้วนงามตา งามล้ำค่านครพิงค์
ข้อมูลทั่วไป
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ หรือเวียงพิงค์ ก่อตั้งโดยพญามังรายมหาราชปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายเมื่อ พ.ศ. 1839 ราชวงศ์นี้ได้ปกครองต่อมายาวนาน 200 ปี เมืองนี้จึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าในปี พ.ศ. 2101 ต่อมาในปี พ.ศ. 2317 พระเจ้าตากสินมหาราชขับไล่พม่าจนพ่ายแพ้ไป เชียงใหม่จึงรวมเข้าในอาณาจักรสยามนับแต่นั้นมา ต่อมาในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช และเมื่อมีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเชียงใหม่เปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลพายัพ และเป็นจังหวัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันเชียงใหม่นับเป็นเมืองใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่รวบรวมศิลปกรรม โบราณวัตถุ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิมของล้านนาไทยเอาไว้
การเดินทาง
ทางรถยนต์ จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 (สายเอเซีย) ผ่านอยุธยา อ่างทอง นครสวรรค์ หลังจากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 117 ไปยังพิษณุโลก ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านลำปาง ลำพูน ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 695 กิโลเมตร อีกทางหนึ่งคือจากนครสวรรค์ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านกำแพงเพชร ตาก และลำปาง ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 696 กิโลเมตร
รถประจำทาง มีรถประจำทางปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวันๆ ละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร. 0 2936 2852 – 66 และที่เชียงใหม่ โทร. 0 53241449, 0 53242664 หรือดูใน www.transport.co.th บริษัทที่มีบริการเดินรถ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ได้แก่ ทันจิตต์ทัวร์ โทร. 0 2936 3210 , นครชัยแอร์ โทร. 0 2936 3901 , 0 2936 3355 นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ โทร. 0 2936 2207 , สมบัติทัวร์ โทร. 0 2936 3355 , สหชาญทัวร์ โทร. 0 2936 2762 , สยามเฟิสท์ทัวร์ โทร. 0 2954 3601-7
รถไฟ มีรถด่วน และรถเร็ว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทุกวัน สอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 0 22237010, 0 22237020, 1690 สถานีรถไฟเชียงใหม่ โทร. 053242094 และ www.railway.co.th
เครื่องบิน บริษัทการบินไทย จำกัด บินประจำระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง สำรองที่นั่ง โทร. 022800060, 0 26282000 สอบถามรายละเอียด โทร. 1566 สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 053210043-4 และ www.thaiairways.com และบริษัทบางกอกแอร์เวย์ จำกัด บริการเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-สุโขทัย-เชียงใหม่ โทร. 0 2265 5555 , 0 2265 5678 และ www.bangkokair.com
สถานที่ท่องเที่ยว
อำเภอเมือง
ในตัวเมือง
วัวลายหมู่บ้านวัฒนธรรมและเครื่องเงินเชียงใหม่
เมื่อเอ่ยถึงเมืองเชียงใหม่ใครต่อใครต่างพากันนึกถึง การทำร่มที่บ้านบ่อสร้าง การแกะสลักไม้ของบ้านถวาย ผ้าทอของอำเภอแม่แจ่ม แต่จะมีสักกี่รายที่นึกถึงงานหัตถศิลป์ที่มีชื่ออย่างเครื่องเงิน เครื่องเขิน
เมื่อเอ่ยถึงเมืองเชียงใหม่ใครต่อใครต่างพากันนึกถึง การทำร่มที่บ้านบ่อสร้าง การแกะสลักไม้ของบ้านถวาย ผ้าทอของอำเภอแม่แจ่ม แต่จะมีสักกี่รายที่นึกถึงงานหัตถศิลป์ที่มีชื่ออย่างเครื่องเงิน เครื่องเขิน
นับตั้งแต่เมืองเชียงใหม่กลายเป็นดินแดนแห่งการท่องเที่ยว งานศิลปหัตถกรรมต่างๆ ของชาวบ้านได้รับการพูดถึงมากที่สุด และมีความคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอน ว่าในระยะแรกชาวบ้านอาจจะรู้สึกไม่มั่นใจว่า งานหัตถกรรมพื้นเมืองจะกลับมาเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยว แต่ว่าหลังจากนำมาปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ดูทันสมัยจนเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยว ชาวบ้านร้านค้าจึงมีความมั่นใจที่จะนำสินค้าพื้นเมืองเข้ามาจำหน่ายในร้านของตนมากยิ่งขึ้น และในท่ามกลางกระแสความนิยมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งกลับเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจที่ใครต่อใครหลายคนกลับถามหารูปลักษณ์แบบเก่าๆ ของวันวานที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองข้ามจากผู้คน
ว่ากันว่างานศิลปหัตถกรรมสามารถที่จะพัฒนาควบคู่ไปกับวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต เมื่อชุมชนเกิดความเปลี่ยนแปลง อาชีพและความเป็นอยู่ของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย นั่นย่อมหมายถึงมีผลกระทบต่องานหัตถกรรมของกลุ่มคนนั้นด้วย
หากเมื่อนึกถึงเครื่องเงินที่มีชื่อเสียงของเชียงใหม่ หลายคนจะนึกถึงร้านเครื่องเงินที่อยู่บนถนนวัวลาย บริเวณนี้เป็นแหล่งทำเครื่องเงินที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ จากตำนานสิงหนวัติกล่าวถึงต้นตระกูลของไท-ยวน คือ ปู้เจ้าลาวจก ได้ไต่บันไดเงินลงมาจากสวรรค์ลงมายังนครเงินยาง หลังจากนั้นได้หลอมบันไดเงินทำเป็นแท่นรองนั่ง จากตำนานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในอดีตมีเครื่องเงินใช้ในดินแดนแถบล้านนามานานแล้ว ทว่าในบันทึกของประวัติศาสตร์กลับขาดหายไป ไม่มีใครพูดถึงเครื่องเงินอีก
ชุมชนวัวลาย เป็นชุมชนวัฒนธรรมย่านการค้าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.1981 พญาสามฝั่งแกนได้สร้างวัดหมื่นสารขึ้นเป็นศูนย์กลางชุมชน ต่อมาสมัยพระเจ้ากาวิละได้ไปกวาดต้อนผู้คนจากชุมชนงัวลายบริเวณลุ่มแม่น้ำคง และชุมชนชาวเขินจากเมืองเชียงตุง รวมถึงคนจากเมืองยอง เมืองสาด เมืองมางฯลฯ ไปจนถึงแคว้นสิบสองปันนาในจีน อพยพผู้คนจากที่ต่างๆ มาตั้งรกรากอยู่ในเชียงใหม่ และให้บรรดาช่างฝีมือต่างๆ อาศัยอยู่ในบริเวณในและนอกกำแพงเมือง กลุ่มช่างเงินมาตั้งรกรากอยู่ใกล้กับกลุ่มไทเขิน โดยมีวัดนันตาราม วัดศรีสุพรรณ และวัดพวกเปีย เป็นศูนย์กลางชุมชนและเรียกชื่อหมู่บ้านใหม่ตามชื่อของหมู่บ้านเดิมว่า งัวลาย หรือ วัวลาย
ในยุคแรกของการทำเครื่องเงินจะทำเป็นส่วยเพื่อถวายแด่เจ้าเมือง แต่เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวเมืองเชียงใหม่กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าของล้านนา มีการติดต่อซื้อขายกับดินแดนอื่นโดยรอบไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาวหรือแม้แต่ชาวเขาเผ่าต่างๆ เครื่องเงินเริ่มกลายเป็นสินค้าแลกเปลี่ยน ซื้อขายกับสินค้าชนิดอื่น สามัญชนเริ่มครอบ ครองเครื่องเงินได้ในขณะที่เจ้านายเปลี่ยนไปใช้เครื่องทองแทน
พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายต่างก็เดินทางค้าขายระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสินค้าและความรู้ภูมิปัญญา รูปแบบของเครื่องเงินจึงเริ่มหลากหลาย มีรูปแบบที่สวยงามมากขึ้น เช่นลายดอกฝ้าย ลายชนบท ลาย 12 ราศีและยังมีลายทรงม่านหรือลายม่าน เช่น ลายรามเกียรติ์ และลายของพม่าที่สวยงามแปลกตา
วิชาช่างที่ถ่ายทอดจากปู่สู่พ่อ ลูกสู่หลาน รุ่นแล้วรุ่นเล่า ทำให้เสียงฆ้อนที่กระทบกับเครื่องเงินไม่เคยห่างหายไปจากย่านวัวลาย การทำเครื่องเงินเป็นงานของผู้ชาย เนื่องจากเป็นงานที่หนัก เริ่มตั้งแต่นำก้อนเงินมาหลอมแล้วกระหน่ำตี สลับกับการเผาเพื่อให้เงินอ่อนตัว จนเป็นแผ่นเรียบบาง จากนั้นนำไปขึ้นรูปและแกะสลักลวดลายให้มีความสวยงาม ซึ่งกว่าจะได้เครื่องเงินแต่ละชิ้นได้ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย
การทำเครื่องเงินเป็นทั้งงานช่างและงานศิลป์ที่จะต้องอาศัยความปราณีตและความละเอียดอ่อน เพื่อผลงานที่ออกมาจะได้สวยและงดงาม สมนึก อุดมวิเศษ ช่างฝีมือด้านการทำเครื่องเงินร้านวัวลายศิลป์ เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนบ้านวัวลายไม่มีร้านค้าจำหน่าย ต่างคนต่างทำที่บ้านใครบ้านมันในยามว่างจากการทำไร่นา เมื่อบ้านวัวลายเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นหลังจากที่มีคนได้เชิญไปสาธิตการตีเงินที่วัดแสนฝางให้เจ้านายจากกรุงเทพและชาวต่างชาติดู ปรากฏว่าไม่นานเครื่องเงินของบ้านวัวลายก็เริ่มมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว
ชุมชนวัดเกตุ
เป็นชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันออก เกิดจากชนหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน ชาวฝรั่ง และชาวพื้นเมือง สามารถดูได้จากรูปแบบของสถาปัตยกรรม ที่ยังหลงเหลือมาจนถึงในปัจจุบันนี้ มีวัดเกตุการามอยู่ศูนย์กลางระหว่างชุมชน การก่อสร้างอาคารบ้านเรือน เริ่มขึ้นอย่างจริงจังช่วงหลัง พ.ศ. 2339 หรือหลังการสถาปนาเมืองเชียงใหม่เป็นประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง ก่อนหน้าที่รถไฟจะมาถึงเชียงใหม่ที่นี่เป็นชุมชนที่เป็นท่าน้ำสำคัญของการเดินทางเรือระหว่างกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ) มายังเมืองเชียงใหม่ และเมืองอื่นๆ ที่อยู่ทางใต้ลงไป ย่านวัดเกตุจึงเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความจำเป็นทางเศรษฐกิจของเมืองเชียงใหม่ในยุคนั้น
สถานที่ที่รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชุมชนนี้อยู่ที่
พิพิธภัณฑ์วัด
เกตุ ตั้งอยู่ที่วัดเกตุการาม สิ่งของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ คือ สมบัติเดิมของวัด เช่น ช่อฟ้า ใบระกาซึ่งเป็นไม้แกะสลักจากโบสถ์เดิม ถ้วยชามฝาจีบ ภาชนะต่างๆ เป็นต้น พิพิธภัณฑ์เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น.
วัดเชียงมั่น อยู่ถนนราชภาคินัย อำเภอเมือง เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1839 พระองค์ทรงยกพระตำหนักเชียงมั่น ถวายเป็นพระอารามให้ชื่อว่า วัดเชียงมั่น วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของเชียงใหม่ “พระเสตังคมณี” หรือ “พระแก้วขาว” ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวเชียงใหม่ มีสถาปัตยกรรมสำคัญ ได้แก่ พระอุโบสถ หอไตร และที่สำคัญคือ เจดีย์ทรงระฆังฐานสี่เหลี่ยมและมีช้างล้อมที่ฐานหมายความว่าค้ำจุนพระพุทธศาสนาไว้
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อยู่ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง พญาผายูกษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์มังรายโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดนี้ขึ้น ในปี พ.ศ. 1888 พร้อมทั้งสร้างพระเจดีย์สูง 24 ศอกองค์หนึ่ง เพื่อใช้เป็นที่บรรจุอัฐิของพญาคำฟู พระราชบิดา มีพระพุทธรูปที่สำคัญอยู่องค์หนึ่งคือพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร ตามประวัติเล่าว่าเจ้ามหาพรหมได้เชิญพระสิงห์มาจากเมืองกำแพงเพชรเพื่อถวายแด่พระเจ้าแสนเมืองมา แต่พอราชรถมาถึงวัดมีเหตุให้ต้องอัญเชิญประดิษฐานไว้ที่นี่ เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ชาวเมืองจะอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้แห่ไปตามถนนรอบเมืองเพื่อให้ประชาชนสรงน้ำโดยทั่วกัน ในวิหารลายคำซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ยังมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องสุพรรณหงส์ และสังข์ทองซึ่งพบเพียงที่นี่แห่งเดียว
ยังมีศิลปกรรมอื่นๆ ที่น่าชม ได้แก่ พระอุโบสถตกแต่งแบบศิลปะล้านนา หอไตรประดับด้วยรูปปูนปั้นเทวดาและเจดีย์ทรงกลมแบบล้านนา
วัดเจดีย์หลวงวรวิหารอยู่ที่ถนนพระปกเกล้า วัดนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่พอดี ประดิษฐานเจดีย์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้าแสนเมืองมากษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ.1913-1954) ต่อมาพระยาติโลกราชโปรดให้ช่างขยายเจดีย์ให้สูงและกว้างกว่าเดิม แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2024 และอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานระหว่าง พ.ศ. 2011-2091 นานถึง 80 ปี ต่อมาในสมัยพระนาง จิระประภา ได้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี พ.ศ. 2088 ทำให้ยอดเจดีย์หักโค่นลง ปัจจุบันเจดีย์มีความสูงคงเหลือ 40.8 เมตร ฐานกว้างด้านละ 60 เมตร
วิหารหลวงของวัดนี้เจ้าคุณอุบาลีคุณปรมาจารย์ (สิริจันทะเถระ) และเจ้าแก้วนวรัฐเป็นผู้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2471 หน้าประตูทางเข้าวิหาร มีบันไดนาคเลื้อยงดงามยิ่ง ใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหาร นาคคู่นี้เป็นฝีมือเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่เดิมได้ชื่อว่าเป็นนาคที่สวยที่สุดของภาคเหนือ
และในวัดเจีย์หลวงนี้ยังมี เสาอินทขิลหรือเสาหลักเมือง สร้างขึ้นเมื่อครั้งพ่อขุนเม็งรายมหาราชสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 1839 ประดิษฐานอยู่ในวิหารจตุรมุขทรงไทยหลังเล็กๆ เสาอินทขิลนี้สร้างด้วยไม้ซุงต้นใหญ่ ฝังอยู่ใต้ดิน ทุกปีในวันแรม 12 ค่ำเดือน 8 (เหนือ) หรือประมาณเดือนพฤษภาคมจะมีงานเรียกว่า เข้าอินทขิล เป็นการฉลองหลักเมือง
คุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์)
ตั้งอยู่ที่ถนนพระปกเกล้าด้านที่ตัดกับถนนราชดำเนิน ต.ศรีภูมิ อ.เมือง เจ้าบุรีรัตน์เป็นตำแหน่งทางราชการ คุ้มเจ้าบุรีรัตน์หลังนี้คาดว่าสร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2432-2436 ปัจจุบันตกเป็นของตระกูลกิติบุตรและทิพย์มณฑล ซึ่งมอบให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดตั้งเป็นศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนา ภายใต้การดูแล จัดการ และดำเนินงาน ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพื่อเก็บข้อมูล และค้นคว้า วิจัย อันนำไปสู่แนวทางในการอนุรักษ์ที่ถูกต้อง
รูปแบบทางสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างลักษณะพื้นถิ่นและตะวันตก และเป็นแบบอย่างของสถาปัตยกรรมอิทธิพลตะวันตกที่สร้างในเชียงใหม่ยุคแรก เป็นเรือนสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้บันไดอยู่ด้านนอก เสาชั้นล่างก่ออิฐหนาเป็นรูปโค้ง ฉาบปูนเป็นระเบียงโดยรอบ ชั้นบนเป็นพื้นไม้สักมีระเบียงโดยรอบ ปัจจุบันตัวอาคารยังอยู่ในสภาพดี แสดงถึงวิทยาการก่อสร้างที่แข็งแรงคงทนในอดีต เปิดให้ชมวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-17.30 น. สอบถามรายละเอียดที่โทร. 0 5327 7855
วัดกู่เต้า ตั้งอยู่ในตำบลศรีภูมิ ติดกับสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ วัดนี้เดิมชื่อว่าวัดเวฬุวนาราม มีเจดีย์ที่มีลักษณะแปลกไปกว่าเจดีย์อื่นๆ ในเมืองไทย คือคล้ายกับผลแตงโมวางซ้อนกันอยู่หลายลูก ชาวบ้านจึงเรียกว่า เจดีย์กู่เต้า วัดนี้ไม่มีประวัติแจ้งไว้แน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่มีตำนานเล่าว่า เจดีย์กู่เต้านี้เป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าสารวดี ซึ่งเป็นราชโอรสของพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งมาครองเมืองเชียงใหม่ในระหว่างปี พ.ศ. 2122 - 2150
วัดอุปคุต ตั้งอยู่ถนนท่าแพ ด้านสะพานนวรัฐ ลงจากสะพานผ่านสี่แยกมาประมาณ 10 เมตร จะพบวัดอยู่ทางด้านซ้ายมือ สิ่งที่น่าสนใจคือ ประเพณีใส่บาตรพระอุปคุต ชาวเหนือเชื่อว่าหากเดือนใดมีวันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธ หรือที่เรียกว่า “เป็งพุธ”พระอุปคุตจะปลอมเป็นเณรมาบิณฑบาตตอนเที่ยงคืน ชาวบ้านเชื่อว่าหากได้ใส่บาตรพระอุปคุตจะได้บุญมาก จึงมีประเพณีใส่บาตรตอนเที่ยงคืน
ภายในวิหารประดิษฐานพระอุปคุตซึ่งเป็นพระประธาน มีภาพจิตรกรรมฝาผนังสีน้ำมันเรื่องพระเวสสันดรชาดก ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตของชาวเหนือ วาดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2470 โดยพ่อบุญปั๋ง พงษ์ประดิษฐ์ ศิลปินล้านนา อาคารที่มีลักษณะแปลกตาอีกหลังหนึ่งคือหอเก็บพระพุทธรูปทรงลูกบาศก์ ยกพื้นสูงมีลายปูนปั้นประดับอยู่โดยรอบผนังด้านนอก ทวารบาลเป็นยักษ์ปูนปั้น บานประตูลงรักปิดทอง
วัดแสนฝาง ตั้งอยู่ที่ถนนท่าแพซึ่งในสมัยก่อนเป็นย่านการค้าของพ่อค้าชาวพม่า เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งที่มีศิลปการก่อสร้างแบบพม่า โดยเฉพาะเจดีย์ที่มีการตกแต่งลวดลายปูนปั้นวิจิตรงดงาม นอกจากนี้ยังมีกุฏิเจ้าอาวาสซึ่งสร้างมานานกว่า 100 ปี เป็นจุดที่น่าสนใจอีกด้วย ตามประวัติเล่าว่าพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 ให้รื้อที่ประทับของพระเจ้ากาวิโรรสสุริวงศ์ (เจ้าชีวิตอ้าว) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 6 มา สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2420 ครั้นสร้างเสร็จแล้วจึงโปรดให้มีการฉลองในปี พ.ศ. 2421
วัดบุพพาราม ตั้งอยู่บนถนนท่าแพเยื้องกับวัดแสนฝาง อำเภอเมือง เป็นวัดคู่เมืองเชียงใหม่ พระเมืองแก้วโปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2039 ได้รับการบูรณะเมื่อ พ.ศ. 2362 เจ้าหลวงธรรมลังกาโปรดให้สร้างวิหารหลังเล็กซึ่งเป็นเครื่องไม้ศิลปะล้านนา หน้าบันเป็นปูนปั้นประดับกระจกแกะลายสลักไม้อย่างงดงาม ส่วนวิหารหลังใหญ่หน้าบันมีลวดลายไม้แกะสลักแบบพม่า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อด้วยทองแดงล้วนหนัก 1 โกฏิ อายุ 400 ปีเศษ และพระพุทธรูปเชียงแสนหล่อด้วยสำริดอยู่ทางด้านซ้ายและขวาอีกหนึ่งคู่
ภายในหอมณเฑียรธรรมประดิษฐานพระพุทธรูปไม้สักขนาดหน้าตักกว้าง 1 วาเศษ มีอายุประมาณ 400 ปี ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยกทัพจากเมืองอยุธยาเพื่อขึ้นมาปราบอริราชศัตรูที่มารุกรานเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2147 จนทัพศัตรูได้ล่าถอยไปทางเมืองแหงและเมืองต๋วน สมเด็จพระนเรศวรฯ จึงพักรบและสร้าง “พระพุทธนเรศศักดิ์ชัยไพรีพินาศ” องค์นี้ขึ้น
วัดป่าเป้า ตั้งอยู่ที่ถนนมณีนพรัตน์ เป็นวัดเงี้ยวแห่งแรกในเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2426 ชาวเงี้ยว หรือชาวไทยใหญ่ในสมัยนั้นจะอาศัยอยู่บริเวณย่านช้างเผือก ข่วงสิงห์ ช้างม่อย ฟ้าฮ่าม และวังสิงห์คำ แต่เดิมบริเวณนี้มีต้นเป้าเป็นจำนวนมาก วัดจึงได้ชื่อว่า วัดป่าเป้า ลักษณะของพระธาตุที่วัด ป่าเป้านี้เป็นแบบไทยใหญ่ เละที่วัดได้จัดประเพณีปอยส่างลองเป็นประจำในเดือนเมษายนของทุกปี
วัดช่างฆ้อง สร้างเมื่อ พ.ศ.1900 ชาวบ้านช่างฆ้องที่อพยพมาจากเชียงแสนราวต้นรัตนโกสินทร์เป็นผู้สร้างขึ้น ภายในวัดมีหอไตรซึ่งเป็นตึกสองชั้นตกแต่งด้วยลายปูนปั้นและไม้ฉลุ เป็นศิลปะผสมระหว่างจีนและพม่า ด้านนอกอาคารมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเจ้าสิบชาติฝีมือช่างพื้นบ้าน ซึ่งยังคงสมบูรณ์อยู่
วัดช่างฆ้องตั้งอยู่ที่ถนนลอยเคราะห์ ติดกับถนนกำแพงดิน จากประตูท่าแพเลี้ยวซ้ายเข้าถนนคชสาร และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนลอยเคราะห์ พบสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนกำแพงดิน วัดอยู่ทางด้านซ้ายมือ
พระพุทธรูปสิงห์หยก" วัดอู่ทรายคำ
พระสิงห์หยก วัดอู่ทรายคำเป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบเชียงแสน รุ่นสิงห์หนึ่ง แกะสลักโดยนายนริศ รัตนวิมล ช่างชาวเชียงราย โดยมีอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินวาดภาพระดับแถวหน้า สล่าล้านนาออกแบบพระพุทธรูปและควบคุมในการแกะ ใช้เวลาในการแกะสลักภายในวัดอู่ทรายเป็น
พระสิงห์หยก วัดอู่ทรายคำ เป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบเชียงแสน รุ่นสิงห์หนึ่ง แกะสลักโดยนายนริศ รัตนวิมล ช่างชาวเชียงราย โดยมีอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินวาดภาพระดับแถวหน้า สล่าล้านนาออกแบบพระพุทธรูปและควบคุมในการแกะ ใช้เวลาในการแกะสลักภายในวัดอู่ทรายเป็นเวลา 6 เดือน นับเป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากหยกธรรมชาติของพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
พระพุทธรูปสิงห์หยก วัดอู่ทรายคำ เมืองเชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากเนื้อหยกสีเทาอมฟ้า ซึ่งมาจากบ่อหยกเมืองผากั้น ทางตอนเหนือของประเทศพม่า ลักษณะของพระพุทธรูปสิงห์หยก หรือ พระสิงห์หยก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านนาเชียงแสนแบบสิงห์ 1 หน้าตักกว้าง 29 นิ้ว สูง 41 นิ้ว น้ำหนัก 900 กิโลกรัม นับเป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากหยกธรรมชาติของพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ประทานพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในผอบทองคำไว้ในพระเศียร และทรงตั้งพระนามพระสิงห์หยกองค์นี้ว่า "พระพุทธมณีศรีบุญนิวิฐ ภูมิพลมหาราชูทิศ รังสฤษเทโวปกรณ์สหศรัทธา อธิสตายุกาลสุวรรณวาลุการามประดิษฐ์ สถิตย์นพบุรีศรีนครพิงค์"
พระครูพิศาลบุญนิวิฐ เจ้าอาวาสวัดอู่ทรายคำ กล่าวถึงการสร้างพระสิงห์หยกองค์นี้ว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 ท่านได้เดินทางไปนมัสการพระพุทธสถานในประเทศอินเดียและเนปาล ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เช่น สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนาและสถานที่ปรินิพพาน ในการไปครั้งนี้ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก ผนวกกับได้ไปนมัสการพระพุทธรูปสมัยคุปตะในพิพิธภัณฑ์สารนาถเมืองพาราณสี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามมาก ยิ่งเกิดรงศรัทธา จนเป็นแรงบันดาลใจทำให้ท่านคิดจะสร้างพระพุทธรูปหยกที่มีลักษณะงดงาม ทรงคุณค่าทางศิลปะล้านนาไว้ในพระพุทธศาสนา
ด้วยเหตุนี้ หลังจากนั้นอีก 1 ปีเต็ม พระสิงห์หยกจึงถือกำเนิดขึ้น จากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวเชียงใหม่ โดยทำพิธีล้านนามหาพุทธาภิเษกในวันที่ 24 กรกฏาคม 2547 อาราธนาพระสงฆ์จำนวน 109 รูป มีพระพุทธพจน์วราภรณ์ รองสมเด็จ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงเป็นประธาน และจัดพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเศียรพระหยก เมื่อวันที่ 31 กรกฏาคม 2547 ณ ลานประตูท่าแพ จากนั้นจึงเคลื่อนขบวนพระสิงห์หยก กลับวัดอู่ทรายคำขึ้นประดิษฐานในพระวิหารหลวง
พระสิงห์หยก วัดอู่ทรายคำ เป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบเชียงแสน รุ่นสิงห์หนึ่ง แกะสลักโดยนายนริศ รัตนวิมล ช่างชาวเชียงราย โดยมีอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินวาดภาพระดับแถวหน้า สล่าล้านนาออกแบบพระพุทธรูปและควบคุมในการแกะ ใช้เวลาในการแกะสลักภายในวัดอู่ทรายเป็นเวลา 6 เดือน
หากจะกล่าวถึงความสำคัญของวัดอู่ทรายคำ สถานที่ประดิษฐานพระสิงห์หยก ตามตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่า วัดอู่ทรายคำ เดิมเรียกกันว่า "วัดอูบคำ" บ้าง "วัดอุกคำ" บ้าง แต่ในตำนานเมืองเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงสมัยพระบรมเชษฐาธิราช ยกทัพไปเมืองเชียงแสน มีความว่า "ศักราชได้ 1166 ปีกาบไจ้ เดือน 8 ขึ้น 12 ค่ำวันอาทิตย์ ยกกองทัพเข้าไปตั้งทัพทำข้าวเปลือก ทิศตะวันตกเมืองเชียงแสน ชาวเมืองเชียงแสนทั้งมวล มีท้าวพระยาเสนาอามาตย์ เป็นต้น ก็พากันเข้ามากราบแทบไต้พื้นสุวรรณบาทจักร์คำ พระเป็นเจ้านับเลี้ยง"
พระบรมเชษฐาธิราช ได้อพยพชาวเชียงแสนลงมาไว้ที่เมืองเชียงใหม่ อันมี ช่างทำเครื่องเขิน เครื่องเงิน เครื่องทอง สถาปนิก ช่างตีเหล็ก เมื่อมาถึงเมืองเชียงใหม่แล้วก็ให้กระจายไพร่พลเหล่านั้นไปอยู่ในที่ต่าง ๆ เช่น บ้านฮ่อม บ้านเมืองสาท บ้านเจียงแสน เป็นต้น ช่างฝีมือเหล่านั้น ต่างก็มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ซึ่งได้นำพระพุทธรูปและใบลานที่เป็นธรรมเทศนาจากเชียงแสน แล้วนำมาไว้ในหอไตรวัดพระสิงห์เป็นจำนวนมาก จากนั้นจึงพากันสร้างวัดวาอารามตามชุมชนที่ตนอาศัย เช่น ช่างเงิน ก็สร้างวัดชื่อ วัดช่างดอกเงิน ช่างคำ ก็สร้างวัดชื่อ วัดช่างดอกคำ วัดอูบคำ หรือ วัดอู่ทรายคำ ก็เป็นนามของอุบาสิกาท่านหนึ่งที่อพยพมาจากเมืองเชียงแสน ได้เป็นประธานสร้างวัดแห่งนี้ ซึ่งเป็นวัดเล็ก ๆ อยู่นอกคูเมืองหลวง
จนกระทั่งถึงสมัยของเจ้าหลวงพุทธวงศ์ หรือ เจ้าแผ่นดินเย็น เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 4 (พ.ศ.2367 - 2389) ได้มีการบูรณะสร้างวัดจากที่เคยรกร้างมาก่อน เมื่อปี พ.ศ.2384 จากนั้นครูบาหลวงจันทะ ได้เข้ามาบูรณะต่อ เมื่อปี พ.ศ.2414 เรียกชื่อว่า วัดอู่ซายคำ หรือ วัดอุปลายคำ หลักฐานจดหมายเหตุ ฉบับสมุดข่อยเขียนด้วยอักษรล้านนา ซึ่งได้มาจากนายหนานแก้ว บ้านพวกแต้ม เมื่อปี พ.ศ.2516 มีบางตอนกล่าวถึงวัดอู่ทรายคำว่า
"ศักราช 1233 ปีร้วงเม็ด เดือน 7 แรม 10 ค่ำ วัน 6 (พ.ศ.2414 ปีมะแมตรีศก เดือน เมษายน - พฤษภาคม) เป็นพญาวัน ถึงเดือน 10 ปถมแรม 8 ค่ำ พัฒนาเผี้ยวถางวัดอู่ทรายคำ (หมายถึง เป็นบริเวณวัดร้างที่ได้สร้างมาก่อนหน้านี้เป็นเวลานานแล้ว) บูรณะวัดอู่ทรายคำวันนั้นแล"
สำหรับผู้สนใจ ต้องการไปนมัสการพระสิงห์หยก ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สามารถเข้าไปกราบไหว้ได้ที่ วิหารวัดอู่ทรายคำ ถ.ช้างม่อยเก่า อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 0 - 5323 - 2410 เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00 - 18.00 น.
เวียงกุมกาม
เป็นชุมชนที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนเมืองเชียงใหม่ แม้ว่าในปัจจุบันชื่อของเวียงกุมกามอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่จากความสำคัญและอดีตที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูมาก่อนจึงทำให้ เวียงกุมกาม กลายเป็นชุมชนเก่าแก่ที่นักโบราณคดีต่างศึกษาค้นคว้า จน
เวียงกุมกาม เป็นชุมชนที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนเมืองเชียงใหม่ แม้ว่าในปัจจุบันชื่อของเวียงกุมกามอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่จากความสำคัญและอดีตที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูมาก่อนจึงทำให้ เวียงกุมกาม กลายเป็นชุมชนเก่าแก่ที่นักโบราณคดีต่างศึกษาค้นคว้า จนปรากฏพบแหล่งโบราณสถาน ที่สำคัญมากมายกระจัดกระจายอยู่ในทั่วบริเวณที่ราบลุ่มทางตอนใต้ของเมืองเชียงใหม่
เมืองโบราณเวียงกุมกาม ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิงซึ่งเป็นบริเวณที่ราบตะกอนใหม่ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 300 เมตร ลักษณะของเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปัจจุบันยังปรากฏร่องรอยของแนวกำแพงเมืองและคูเมืองบางตอน มีขนาดกว้างประมาณ 600 เมตรยาวประมาณ 850 เมตร มีโบราณสถานกระจัด กระจายทั้งนอกเมืองและในเมืองกว่า 25 แห่ง
จากหลักฐานในพงศาวดารภาคที่ 61 ระบุไว้ว่า ถึงศักราช 648 ตัว ปีระวายเสด พญามังรายเจ้าก็ยกเอาหมู่รี้พลไปตั้งบ้าน เชียงกุ่มกวม แม่น้ำระมิง ตั้งบ้านอยู่ 3 แห่ง แห่งหนึ่งชื่อว่า บ้านกลาง แห่งที่สองชื่อว่า บ้านลุ่ม แห่งที่สามชื่อว่า บ้านแห้มแล เมื่อถึงยามกลางพรรษาน้ำท่วมฉิบหายมากนัก จากเอกสารดังกล่าวทำให้เราทราบว่า เวียงกุมกามเป็นเมืองที่พญามังรายทรงสร้างขึ้น หลังจากที่ยกทัพจากเมืองฝางมายึดครองเมืองหริภุญชัยจากพญายีบา เมื่อปี พ.ศ.1835 หลังจากที่พระองค์ประทับอยู่ที่เมืองหริภุญชัยเป็นเวลา 2 ปีก็ทรงมอบให้อ้ายฟ้าที่เข้าเป็นไส้ศึกอยู่ในเมืองหริภุญชัยก่อนที่จะส่งข่าวให้พญามังรายมาตีเมืองหริภุญชัยสำเร็จครองเมือง หลังจากนั้น พญามังรายก็ทรงย้ายมาสร้างเมืองใหม่ขึ้นเรียกว่า เวียงกุมกาม ในปี พ.ศ.1837 ซึ่งเมืองแห่งนี้มีความเหมาะสมในการใช้แม่น้ำปิงในด้านการคมนาคม มีการติดต่อกับเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือและตอนใต้ เป็นเหตุให้เวียงกุมกามได้พัฒนามาเป็นศูนย์กลางทางการค้าได้ ดังจะเห็นได้จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ตอนหนึ่งว่า เรือค้าขาย ซึ่งมาจากที่ต่างๆ เข้ามาค้าขายที่กาดกุมกามเป็นจำนวนมาก จนทำให้เรือชนกันล่มทุกวัน ส่วนพื้นที่รอบๆ เวียงกุมกามนั้น ยังเหมาะสมต่อด้านเกษตรกรรม ในขณะนั้นเวียงกุมกามมีฐานะเป็นเมืองหลวง มีความสำคัญทางด้านการเมือง เป็นศูนย์กลางที่แลกเปลี่ยนสินค้า แต่ในด้านศาสนานั้นยังคงให้เมืองหริภุญชัยมีบทบาทอยู่ในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาต่อไป
กาลต่อมาเวียงกุมกามมักประสบกับเหตุน้ำท่วมอยู่เสมอ พญามังรายจึงโปรดให้ตั้งเมืองใหม่ บริเวณเชิงดอยสุเทพกับแม่น้ำปิง มีลักษณะพื้นที่ลาดเทจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกแทน ในปี พ.ศ.1839 ให้ชื่อเมืองนี้ว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เวียงกุมกามจึงลดความสำคัญและมีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน ป้องกันข้าศึกศัตรูที่จะเข้ามาตีเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในรัชสมัยของพญาติโลกราชว่า เวียงกุมกามมีบทบาทเป็นเพียงพันนาหนึ่งเท่านั้น โดยมีหมื่นกุมกามเป็นผู้ปกครอง ต่อมาเมื่อพม่าเข้ามามีอิทธิพลครอบครองล้านนา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2101 แล้ว ไม่ปรากฏชื่อและหลักฐานเอกสารใดกล่าวถึงอีกเลย
หลังจากที่กรมศิลปากร ได้เข้ามาดำเนินการขุดตกแต่งและบูรณะโบราณสถานต่างๆ ในเวียงกุมกามไปแล้วกว่า 10 วัดจึงทำให้เวียงกุมกามกลับมามีความสำคัญในฐานะประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของอาณาจักรล้านนา มีการพบโบราณสถานที่สำคัญๆ หลายแห่ง เช่น วัดกานโถม หรือ วัดช้างค้ำ เป็นโบราณสถานที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหลังมีอาคารเชื่อมต่อออกไป มีลักษณะเป็นมณฑป ด้านหลังวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งตามตำนานพงศาวดารโยนกระบุว่า พญามังรายโปรดให้สร้างวัดกานโถมขึ้นในราวปีพ.ศ.1833 ประกอบด้วยเจดีย์มีฐานกว้าง 12 เมตร สูง 18 เมตร ทำซุ้มคูหาสี่ทิศใช้พระพุทธรูปซ้อนสองชั้น ชั้นล่างไว้พระพุทธรูปนั่ง 4 องค์ชั้นบนไว้พระพุทธรูปยืนองค์หนึ่ง นอกจากนี้ในบริเวณวัดกานโถมยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ ที่ได้อัญเชิญเมล็ดมาจากเมืองลังกา
ในบริเวณเวียงกุมกามยังมีโบราณสถานกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ และเจดีย์ที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่งก็คือเจดีย์วัดปู่เปี้ย ,อีก้าง ซึ่งได้รับการบูรณะตกแต่งจากกรมศิลปากรแล้ว วัดนี้ตั้งอยู่ในแนวคูเมือง กำแพงเมืองดินทางด้านทิศตะวันตกของเวียง โบราณสถานอยู่ลึกลงไปจากผิวดินประมาณ 2 เมตร ประกอบด้วยวิหาร เจดีย์ อุโบสถและส่วนประกอบอื่นๆ เช่น แท่นบูชาและศาลผีเสื้อ ตัวโบราณสถานโดยเฉพาะวิหารมีร่องรอยการก่อสร้างซ่อมแซมกันมาหลายสมัย ส่วนองค์เจดีย์นั้นมีลักษณะทางศิลปกรรมที่ผสมผสานทั้งแบบสุโขทัยและล้านนา คือมีเรือนธาตุสูงรับองค์ระฆังขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในรัชสมัยของพญาติโลกราชลงมาคือราวปี พ.ศ.1998-2068
วัดอีก้าง ตั้งอยู่ใกล้แนวคูเมือง กำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกของเวียง โบราณสถานอยู่ลึกลงไปจากผิวดิน 2 เมตร โบราณสถานมีวิหารและเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านหลังวิหารมีอาคารเชื่อมต่อคล้ายมณฑปส่วนเจดีย์อยู่หลังสุด ลักษณะทางศิลปกรรมของเจดีย์เป็นแบบดั้งเดิมของล้านนา กล่าวคือ มีฐานหน้ากระดานและฐานบัวสองชั้นย่อเก็จรองรับองค์ระฆัง อายุสมัยของเจดีย์อีก้างน่าจะอยู่ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 21 วัดอีก้าง หรือ วัดอีค่าง แห่งนี้มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า นางค่างตัวหนึ่งมีคุณประโยชน์ต่อพระราชามาก เมื่อตายลงพระราชาจึงสร้างวัดแก่นางค่าง
วัดเจ็ดยอดหรือวัดโพธารามมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ (เชียงใหม่-ลำปาง) ห่างจากตัวเมือง 4 กิโลเมตร เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2020 โดยพระเจ้าติโลกราชกษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งราย สถาปัตยกรรมสำคัญของวัดนี้ ได้แก่
เจดีย์เจ็ดยอดลักษณะคล้ายกับมหาวิหารโพธิที่พุทธคยาในประเทศอินเดีย ที่ฐานเจดีย์ประดับปูนปั้นรูปเทวดา ด้านนอกพระเจดีย์ก็เช่นกันประดับงานปูนปั้นรูปเทวดาทั้งนั่งขัดสมาธิและยืนทรงเครื่องที่มีลวดลายต่างกันไปดูงามน่าชม สถูปเจดีย์พระเจ้าติโลกราช เมื่อพระเจ้าติโลกราชสวรรคตในปี พ.ศ.2030 พระยอดเชียงราย ราชนัดดาได้สืบราชสมบัติแทน และโปรดให้สร้างสถูปใหญ่บรรจุอัฐิของพระอัยกาธิราช และ สัตตมหาสถาน คือสถานที่สำคัญในพุทธประวัติเจ็ดแห่ง ได้แก่ โพธิบัลลังก์ อนิมิตเจดีย์ รัตนจงกรมเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ อชปาลนิโครธเจดีย์ ราชายตนเจดีย์ ปัจจุบันเหลืออยู่ที่วัดเจ็ดยอดเพียงสามแห่งคือ อนิมิตเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ มุจจลินทเจดีย์
ที่วัดนี้เป็นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ทรงสนับสนุนคณะสงฆ์นิกายสิงหล (ลังกาวงศ์) ทรงส่งเสริมการเล่าเรียนทางด้านปริยัติธรรม ทำให้ภิกษุล้านนามีความเชี่ยวชาญภาษาบาลี และในปี พ.ศ. 2020 โปรดให้ประชุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่เพื่อชำระพระไตรปิฎก ณ วัดโพธารามมหาวิหาร (วัดเจ็ดยอดในปัจจุบัน) ใช้เวลา 1 ปีจึงเสร็จ นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก เป็นครั้งแรกของไทย และถือเป็นหลักปฏิบัติของสงฆ์ในล้านนา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ (เชียงใหม่-ลำปาง) ใกล้ๆ กับวัดเจ็ดยอดรวบรวมสิ่งของที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของภาคเหนือไว้ เช่น พระพุทธรูปสกุลช่างสมัยล้านนาต่างๆ และพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน เครื่องไม้แกะสลัก เครื่องถ้วยภาคเหนือ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวล้านนาและชาวเขาเผ่าต่างๆ ภาพถ่ายประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. หยุดช่วงวันสงกรานต์ และวันปีใหม่ ค่าเข้าชม คนไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท นักเรียน นักศึกษาฟรี รายละเอียด โทร. 053221308
หอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่
: หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาแห่งอดีตอันรุ่งโรจน์ของอาณาจักรล้านนา หัวเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้า การปกครองของภูมิภาคตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน เพียงแห่งเดียว
หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาแห่งอดีตอันรุ่งโรจน์ของอาณาจักรล้านนา หัวเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้า การปกครองของภูมิภาคตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน เพียงแห่งเดียวที่นำเสนอความเป็นมาของอดีตเมืองเชียงใหม่ได้อย่างครบถ้วน และอาจเรียกได้อีกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ไฮเทคที่สุดในบรรดาพิพิธภัณฑ์ทั้งหลายที่มีอยู่ในประเทศ
ตัวอาคารของหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ ซึ่งดัดแปลงจากอาคารศาลากลางหลังเดิมให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาของเชียงใหม่ทุกยุคสมัยตั้งแต่เริ่มต้นการเลือกชัยภูมิสร้างเมืองของพญามังรายจนถึงยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 โดยอาคารศาลากลางเชียงใหม่หลังเก่านี้เป็นอาคารที่มีความงดงามและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2468 ครั้งนี้เคยเป็นศาลาว่าการรัฐบาลมณฑลพายัพและเป็นศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้นคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ของอาคารหลังนี้คงไม่ต้องพูดถึง
ความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ของอาคารพิพิธภัณฑ์หลังนี้ ประการหนึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์กลางของการบริหารนครแล้ว บริเวณที่ตั้งของอาคารยังตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่า "กลางเวียง" ในปัจจุบันหรือ "สะดือเมือง" ในอดีต ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองมาก่อนที่จะย้ายเสาไปไว้ที่วัดเจดีย์หลวง นอกจากนั้นที่บริเวณนี้ในอดีตยังเป็นที่ตั้งของหอคำและที่ทำการเค้าสนามหลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรล้านนา
หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่มีห้องนิทรรศการถาวรถึง 15 ห้องจัดแบ่งตามเนื้อหาสาระ นับตั้งแต่ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคของการสร้างบ้านแปงเมือง ล่วงเลยผ่านวันเวลาอันรุ่งเรืองและเสื่อมถอย เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งเป็นเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังจัดแสดงเรื่องราววิถีชีวิต ภูมิปัญญา การเมืองการปกครองและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันน่าภูมิใจของคนเชียงใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้นำเสนอด้วยแบบจำลองผสานสื่อที่ทันสมัย ทั้งสไลด์ วีดิทัศน์ ซอฟแวร์ หุ่นจำลอง บอร์ดกราฟฟิคและภาพประกอบคำบรรยายที่ทันสมัยสวยงามน่าสนใจ
ภายในหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่จะแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 2 ชั้น เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาชมจะเริ่มต้นด้วยห้องวิดีทัศน์ เพื่อเกริ่นนำให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใจภาพรวมของเชียงใหม่ รวมทั้งการก่อตั้งเมือง อิทธิพลของความเชื่อในลัทธิศาสนา ความสัมพันธ์ของเมืองเชียงใหม่กับเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคอื่น นอกจากนั้นยังมีห้องเชียงใหม่ 100 ปี แสดงถึงความสัมพันธ์ของเชียงใหม่กับสยาม ในส่วนชั้นบนจัดแสดงประวัติและความสำคัญของอาคาร ต่อด้วยห้องประวัติเจ้าหลวงเชียงใหม่และสายสันติวงศ์ อาคารชั้นบนด้านซ้ายจัดแสดงการตั้งถิ่นฐานของคนเมือง เริ่มจากการตั้งถิ่นฐานของพ่อค้าฝั่งแม่น้ำปิงเชื้อสายต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีการจำลองกาดในอดีตมาไว้ ห้องจำลองวิหารวัดในพระพุทธศาสนาอันเป็นวิถีชีวิตของชาวเชียงใหม่ ตั้งอยู่คู่กับห้องภูมิปัญญาท้องถิ่นแสดงวัฒนธรรมและพัฒนาการด้านความคิดของชาวเชียงใหม่ ตลอดจนศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ ซึ่งตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมงในการเข้าชมในหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่นั้น จะทำให้ทราบความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่อดีตเริ่มแรกในการสร้างบ้านแปงเมืองจนถึงยุคสมัยปัจจุบันกว่า 700 ปีของอาณาจักรแห่งนี้
พิพิธภัณฑ์แมลงโลกและสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติ
รวบรวมแมลงชนิดต่างๆจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ด้วง กว่าง ผีเสื้อ ตั๊กแตน นอกจากแมลงแล้ว ยังมีซากพืชและสัตว์ดึกดำบรรพ์ต่างๆ และหินสะสมสวยงามประเภทต่างๆ ไว้ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้พิพิธภัณฑ์นี้มีความเป็นพิเศษขึ้นมาอีก คือ เป็นแหล่งรวมยุงในประเทศไทยสี่ร้อยกว่าชนิดที่ใช้เวลาสี่สิบกว่าปีในการรวบรวม เพื่องานวิจัยทางการแพทย์ ที่ตั้ง 72 ถ.นิมมานเหมินทร์ ซ. 13 (ศิริมังคลาจารย์ ซ. 3) ต.สุเทพ อ.เมือง โทร.0 53211891 โทรสาร 0 53410916
วัดสวนดอก หรือวัดบุปผาราม ตั้งอยู่ที่ถนนสุเทพ ในเขตอำเภอเมือง พญากือนาทรงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1914 (ศักราชนี้ถือตามหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ของพระรัตนปัญญาเกตุ) เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของพระมหาเถระสุมน ผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในล้านนา วัดนี้แต่เดิมเป็นพระราชอุทยานของกษัตริย์ล้านนาไทยสมัยแรกเริ่ม มีสถาปัตยกรรมสำคัญ คือ เจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรงกลม กู่บรรจุอัฐิเจ้าตระกูล ณ เชียงใหม่ และวิหารโถง นอกจากนี้ ยังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าเก้าตื้อ ซึ่งพญาเมืองแก้วโปรดให้หล่อขึ้น เป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ ศิลปะล้านนาผสมกับศิลปะสุโขทัย
วัดอุโมงค์ ตั้งอยู่ที่ถนนสุเทพ อำเภอเมืองหากไปจากตลาดต้นพยอม วิ่งผ่านสี่แยกคลอง ชลประทานด้านหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประมาณ 500 เมตร เข้าซอยทางด้านซ้ายมือไปประมาณ 2 กิโลเมตรวัดอุโมงค์สร้างขึ้นในสมัยพญามังรายราวปี พ.ศ. 1839 เพื่อให้ฝ่ายอรัญวาสีจำพรรษา ต่อมาพญากือนา ทรงสร้างอุโมงค์ขึ้นเพื่อให้พระมหาเถระจันทร์ใช้เป็นที่วิปัสสนากรรมฐาน อุโมงค์นี้มีลักษณะเป็นกำแพงภายในเป็นทางเดินหลายช่องทะลุกันได้ ภายในอุโมงค์เคยมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง สันนิษฐานว่าวาดในระหว่าง พ.ศ.1900-2000 แต่เดิมคงเป็นภาพจิตรกรรมเต็มบริเวณของทุกห้อง ส่วนใหญ่เป็นภาพดอกบัว ดอกโบตั๋น และ นกต่างๆ เช่น นกยูง นกกระสา นกแก้ว และนกเป็ดน้ำ ด้านบนอุโมงค์เป็นเจดีย์ที่มีอายุเก่าแก่ของล้านนา นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าสร้างประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นเจดีย์ทรงระฆัง มีชั้นทรงกลมประมาณ 3 ชั้นเหมือนกลีบบัวซ้อนกันอยู่ ด้านบนมีปลียอด
ด้านหน้าอุโมงค์มีเศียรพระพุทธรูปหินสลักสกุลช่างพะเยา พ.ศ. 1950 - 2100 บริเวณวัดเป็นสวนพุทธธรรม ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เป็นสวนป่าที่เหมาะกับการนั่งวิปัสสนา ด้านหลังเป็นสวนป่าและสวนสัตว์ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน เดินเล่นได้ และเป็นสถานที่ดูนกที่ดีอีกแห่งหนึ่ง
สวนรุกขชาติห้วยแก้ว
เป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้นานาชนิดไว้ศึกษา เป็นสถานที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนและยังมีสวนสุขภาพสำหรับออกกำลังกาย ตั้งอยู่ถัดจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทางขึ้นดอยสุเทพ
สวนสัตว์เชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ถนนห้วยแก้ว ใกล้กับสวนรุกขชาติ เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ได้รับการจัดสภาพอย่างดี บริเวณกว้างขวาง มีบรรยากาศร่มรื่น และมีสัตว์อยู่มากกว่า 2,000 ชนิด ทั้งที่มีอยู่ในเมืองไทยและนำมาจากต่างประเทศ ภายในสวนสัตว์ยังมีอุทยานสัตว์น้ำ 700 ปี ศรีนครพิงค์ สวนนกเพนกวิน และสวนนกฟิ้นซ์ซึ่งเป็นนกขนาดเล็กที่มีสีสันสวยงามจนได้รับการขนานนามว่าเป็น อัญมณีบินได้
เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. เปิดขายบัตรถึงเวลา 17.00 น.
อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ตั้งอยู่ตรงทางขึ้นดอยสุเทพ ก่อนถึงน้ำตกห้วยแก้ว ครูบาศรีวิชัยเป็นนักบุญแห่งล้านนาไทยผู้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเชียงใหม่และประชาชนโดยทั่วไป ผู้ที่จะขึ้นไปดอยสุเทพมักจะแวะนมัสการอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยเพื่อความเป็นสวัสดิมงคล ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มชักชวนให้ประชาชนชาวเหนือร่วมแรงร่วมใจกันสร้างถนนจากเชิงดอยขึ้นไปสู่วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ โดยเริ่มลงมือ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2477 และแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2478 รวมระยะทาง 10 กิโลเมตร
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เดินทางตามถนนห้วยแก้ว ผ่านอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ไปตามทางคดเคี้ยวขึ้นเขา ระหว่างทางจะมองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่อยู่เบื้องล่าง ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง วัดพระธาตุดอยสุเทพนี้เป็นปูชนียสถานคู่เมืองเชียงใหม่ นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาที่จังหวัดนี้จะต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุกันทุกคน ถ้าหากใครไม่ได้ขึ้นไปนมัสการแล้ว ถือเสมือนว่ายังมาไม่ถึงเชียงใหม่ มีงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุในวันเพ็ญวิสาขบูชาทุกปี
นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดนาคไป 300 ขั้น เพื่อไปยังวัด หรือใช้บริการรถกระเช้าขึ้น-ลงดอยสุเทพได้ ระหว่างเวลา 05.30-19.30 น. นักท่องเที่ยวที่ไม่มีรถส่วนตัวสามารถเดินทางมาที่วัดโดยรถสองแถวประจำทางจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้านถนนห้วยแก้ว ซึ่งบริการระหว่างเวลาประมาณ 05.00-17.00 น.
มีพื้นที่ประมาณ 262.50 ตารางกิโลเมตร หรือ 163,162.50 ไร่ครอบคลุมพื้นที่อำเภอแม่ริม อำเภอหางดง และอำเภอเมือง
อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
การเดินทางไปยังที่ทำการอุทยานฯ จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนห้วยแก้ว-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่-สวนสัตว์เชียงใหม่ ถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ จากนั้นเดินทางต่อไปอีกเล็กน้อยถึงทางแยกขวามือ มีป้ายบอกทางเข้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ
น้ำตกห้วยแก้ว เป็นน้ำตกเล็กๆ สูงประมาณ 10 เมตร อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 6 กิโลเมตร มีน้ำไหลตลอดปี รอบๆ บริเวณสวยงามด้วยทิวทัศน์และร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด นอกจากนี้ยังมีที่พักผ่อนนำอาหารไปนั่งรับประทานกันที่ผาเงิบและวังบัวบานอันเป็นสุสานแห่งความรักของสาวบัวบานผู้ถือรักเป็นสรณะ
พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จากวัดพระธาตุดอยสุเทพไปยังพระตำหนักฯ ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตรเป็นพระตำหนักประทับแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2505 ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า โดยปกติแล้วจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมทุกวัน ทั้งนี้จะต้องเป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มิได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ซึ่งปกติจะปิดในช่วงเวลาตั้งแต่ประมาณกลางเดือนธันวาคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถสอบถามจากสำนักงาน ททท.ภาคเหนือเขต 1 (สำนักงานเชียงใหม่) จำหน่ายบัตรเวลา 08.30-11.30 น. และ 13.00-15.30 น. ค่าเข้าชม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง (แม้ว) ดอยปุย บริเวณรอบๆ หมู่บ้านมีทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างยิ่งและยังสามารถมองเห็นดอยอินทนนท์เบื้องหน้าได้อย่างชัดเจนอีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมได้สะดวกเพราะอยู่ใกล้ตัวเมือง โดยใช้เวลาในการเดินทางจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ภายในหมู่บ้านมีร้านขายของที่ระลึกซึ่งมีทั้งผลิตภายในหมู่บ้านและนำมาจากที่อื่นวางขายให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย
วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร จากตัวเมืองเชียงใหม่มุ่งหน้าไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฮอด 58 กิโลเมตร เป็นวัดสำคัญคู่เมืองจอมทองและเป็นที่เคารพสักการะของชาวเหนือโดยทั่วไป ประเพณีเด่นของวัดคือ “การแห่ไม้ค้ำโพธิ์” ซึ่งเป็นประเพณีของชาวล้านนาที่ถือว่าการเอาไม้มาค้ำโพธิ์เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ แต่เดิมดอยอินทนนท์มีชื่อว่า “ดอยหลวง” หรือ “ดอยอ่างกา” ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่าดอยอ่างกานั้น มีเรื่องเล่าว่า ห่างจากดอยอินทนนท์ไปทางทิศตะวันตก 300 เมตร มีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือนอ่างน้ำ แต่ก่อนนี้มีฝูงกาไปเล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า อ่างกา ต่อมาจึงรวมเรียกว่า ดอยอ่างกา
ดอยอินทนนท์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยซึ่งพาดผ่านจากประเทศเนปาล ภูฐาน พม่า และมาสิ้นสุดที่นี่ สิ่งที่น่าสนใจของดอยนี้ไม่เพียงแต่เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศเท่านั้น แต่สภาพภูมิประเทศและสภาพป่าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในฤดูหนาวจะมีหมอกปกคลุมเกือบทั้งวันและบางครั้งน้ำค้างยังกลายเป็นน้ำค้างแข็ง สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้มีผู้มาเยือนที่นี่อย่างไม่ขาดสาย
การเดินทาง ระยะทางจากตัวเมืองขึ้นไปจนถึงยอดดอยอินทนนท์ประมาณ 106 กิโลเมตร ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-จอมทอง ถึงหลักกิโลเมตรที่ 57 ก่อนถึงอำเภอจอมทอง 1 กิโลเมตร แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ระยะทาง 48 กิโลเมตรถึงยอดดอยอินทนนท์ เป็นถนนลาดยางอย่างดีแต่ทางค่อนข้างสูงชัน รถที่นำขึ้นไปจะต้องมีสภาพดี ผู้ที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวสามารถนั่งรถสองแถวสายเชียงใหม่-จอมทองบริเวณประตูเชียงใหม่ จากนั้นขึ้นรถสองแถวที่หน้าวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารหรือที่น้ำตกแม่กลาง ซึ่งจะเป็นรถโดยสารประจำทางไปจนถึงที่ทำการอุทยานฯตรงหลักกิโลเมตรที่ 31 และหมู่บ้านใกล้เคียง แต่หากต้องการจะไปยังจุดต่างๆ ต้องเหมาไปคันละประมาณ 800 บาท
มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 9 ของเส้นทางหมายเลข 1009 มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ และมีนิทรรศการเกี่ยวกับธรรมชาติ สัตว์ป่า และอื่นๆ
สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ
น้ำตกแม่ยะ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามมากแห่งหนึ่ง เพราะน้ำซึ่งไหลลงมาจากหน้าผาที่สูงชัน 280 เมตร ลงมากระทบโขดหินเป็นชั้นๆ เหมือนม่าน แล้วลงไปรวมกันที่แอ่งน้ำเบื้องล่าง น้ำใสเย็นเหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ อีกทั้งบริเวณรอบๆ น้ำตกเป็นป่าเขาอันสงบเงียบ และมีศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยวตั้งอยู่ด้วย บริเวณน้ำตกสะอาดและจัดการพื้นที่ได้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม การเดินทาง จากทางแยกเข้าทางหลวง 1009 ไปประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าไป 14 กิโลเมตร และต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 200 เมตร
น้ำตกแม่กลาง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ชั้นเดียว สูงประมาณ 100 เมตร ต้นน้ำอยู่บนดอยอินทนนท์ มีน้ำไหลตลอดปี มีความสวยงามตามธรรมชาติ การเดินทาง จากทางแยกเข้าทางหลวง 1009 ไปอีก 8 กิโลเมตร แยกซ้าย 500 เมตร เป็นทางลาดยางตลอด
ถ้ำบริจินดา ตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 8-9 ของทางหลวงหมายเลข 1009 ใกล้กับน้ำตกแม่กลาง จะเห็นทางแยกขวามือมีป้ายบอกทางไปถ้ำบริจินดา ภายในถ้ำลึกหลายกิโลเมตร เพดานถ้ำมีหินงอกหินย้อย หรือชาวเหนือเรียกว่า “นมผา” สวยงามมาก มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในถ้ำด้วย นอกจากนั้น ยังมีธารหิน เมื่อมีแสงสว่างมากระทบจะเกิดประกายระยิบระยับดังกากเพชรงามยิ่งนัก ลักษณะของถ้ำเป็นถ้ำทะลุสามารถมองเห็นภายในได้ถนัด เพราะมีอุโมงค์ซึ่งแสงสว่างลอดเข้ามา บริเวณปากถ้ำจะมีป้ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ อธิบายประวัติการค้นพบถ้ำนี้
น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เดิมชื่อ “ตาดฆ้องโยง” น้ำจะดิ่งจากผาด้านบนตกลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ในช่วงที่มีน้ำมากละอองน้ำจะสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณรู้สึกได้ถึงความเย็นและชุ่มชื้น และสะพานไม้ที่ทอดยาวเข้าไปหาหน้าผานั้นจะเปียกลื่นอยู่ตลอดเวลาแต่หากเดินเข้าไปจนสุดจะได้สัมผัสกับความงามของน้ำตกมากที่สุด
การเดินทาง จากเชิงดอยอินทนนท์ขึ้นไปถึงกิโลเมตรที่ 21 จะเห็นป้ายบอกทางแยกขวาเข้าน้ำตก ลงไป 500 เมตร ถนนจะถึงที่ตัวน้ำตก อีกเส้นทางหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางเดิมอยู่เลยจากทางแยกแรกไปประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวขวาตามป้ายและเดินจากลานจอดรถลงไปอีก 351 เมตร หากใช้เส้นทางนี้จะได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติรอบด้านตลอดทางเดิน
น้ำตกสิริภูมิ ไหลมาจากหน้าผาสูงชัน เป็นทางยาวสวยงามมาก สามารถมองเห็นได้จากบริเวณที่ทำการอุทยานฯ เป็นสายน้ำตกแฝดไหลลงมาคู่กันแต่เดิมเรียกว่า “เลาลึ” ตามชื่อของหัวหน้าหมู่บ้านม้งซึ่งอยู่ใกล้ๆ น้ำตกสิริภูมิตั้งอยู่ตรงกิโลเมตรที่ 31 ของทางหลวงหมายเลข 1009 มีทางแยกขวามือเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร แต่รถไม่สามารถเข้าไปใกล้ตัวน้ำตกได้ นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าเข้าไปบริเวณด้านล่างของน้ำตก
โครงการหลวงดอยอินทนนท์
ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านขุนกลาง ตำบลห้วยหลวง อำเภอจอมทอง เดินทางตามเส้นทางสู่ดอยอินทนนท์ ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 ของทางหลวงหมายเลข 1009 มีทางแยกขวามือเป็นทางลูกรังเข้าสู่โครงการฯ อีกประมาณ 1 กิโลเมตร โครงการหลวงอินทนนท์ รับผิดชอบส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมให้แก่กะเหรี่ยงและม้งในพื้นที่ ผลิตผลหลักของโครงการ คือ พืชผักและไม้ดอกเมืองหนาวต่างๆ นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมแปลงปลูกดอกไม้ ห้องทดลองทำการเพาะขยายพันธุ์ และยังสามารถแวะชมแปลงปลูกดอกไม้ของชาวเขาในหมู่บ้านซึ่งอยู่บริเวณปากทางเข้าโครงการฯได้ด้วย
พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 41.5 ทางด้านซ้ายมือ สร้างขึ้นโดยกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทย โดยพระมหาธาตุนภเมทนีดล สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2530 และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2535 พระมหาธาตุทั้ง 2 องค์นี้ มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือ ฐานเป็นรูป 12 เหลี่ยม มีระเบียงแก้วโดยรอบเป็น 2 ระดับ ยอดปลีขององค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปบูชา รอบบริเวณสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์ได้อย่างสวยงาม
ยอดดอยอินทนนท์ จุดสิ้นสุดของทางหลวงสาย 1009 เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย (2,599 เมตร) มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี เป็นที่ตั้งสถานีเรด้าของกองทัพอากาศไทยและเป็นที่ประดิษฐานสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้ายซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของป่าไม้และหวงแหนดอยหลวงเป็นอย่างมากต้องการที่จะอนุรักษ์ไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน ท่านผูกพันกับที่นี่มากจึงสั่งว่าหากสิ้นพระชนม์ไปแล้วให้แบ่งเอาอัฐิส่วนหนึ่งมาไว้ที่นี่
ศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยว อยู่บริเวณใกล้กับยอดดอย แสดงนิทรรศการเรื่องราวของดอยอินทนนท์จากอดีตถึงปัจจุบัน ให้ความรู้ทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ ทาง ชีววิทยา ป่าไม้ สิ่งมีชีวิต ซึ่งบางชนิดหาดูได้ที่นี่แห่งเดียวในเมืองไทย ผู้มาเยือนจะได้รับ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย
น้ำตกห้วยทรายเหลือง เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีน้ำไหลแรงตลอดปี และไหลจากหน้าผาลงมาเป็นชั้นๆ เข้าทางเดียวกับน้ำตกแม่ปาน ห่างจากที่ว่าการอำเภอแม่แจ่มประมาณ 16 กิโลเมตร แยกจากทางหลวงหมายเลข 1009 ตรงด่านตรวจกิโลเมตรที่ 38 ไปตามเส้นทางสายอินทนนท์-แม่แจ่ม (ทางหลวงหมายเลข 1192) ประมาณ 6 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกทางไปน้ำตก เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นทางดินแดงในช่วงหน้าฝนทางลำบากมากต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ
น้ำตกแม่ปานเข้าทางเดียวกับน้ำตกห้วยทรายเหลือง แต่อยู่เลยไปอีก 500เมตร และจากจุดจอดรถต้องเดินต่อไปอีก 800 เมตร ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงจะถึงตัวน้ำตก น้ำตกแม่ปานนับว่าเป็นน้ำตกที่ยาวที่สุดของเชียงใหม่ก็ว่าได้ น้ำจะตกลงมาจากหน้าผาซึ่งสูงกว่า 100 เมตร เป็นทางยาว ถ้ามองดูแต่ไกลจะเห็นสายน้ำยาวสีขาวตัดกับสีเขียวของต้นไม้ทำให้ดูเด่น น้ำที่ตกลงมายังเบื้องล่างกระทบโขดหินแตกเป็นฟองกระจายไปทั่วบริเวณทำให้มีความชุ่มชื้น เบื้องล่างมีแอ่งน้ำรองรับอยู่ สามารถพักผ่อนลงอาบเล่นได้
เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนดอยอินทนนท์
กิ่วแม่ปาน ทางเข้าอยู่กิโลเมตรที่ 42 ด้านซ้ายมือ ระยะทางเดิน 3 กิโลเมตร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติโดยแท้จริง ระหว่างทางเดินจะพบป่าดิบเขา (Hill Evergreen) ก่อนผ่านเข้าสู่ทุ่งหญ้าซึ่งเคยเป็นพื้นที่ป่าถูกทำลาย เพื่อเป็นการศึกษาลักษณะการเกิดผลกระทบต่อเนื่องบริเวณรอยต่อระหว่างพื้นที่ป่าสมบูรณ์กับพื้นที่ถูกทำลาย (edge effect) หลังจากนั้นทางเดินจะเลาะริมผามีไอหมอกปลิวผ่านตลอดเวลา จะพบดอกกุหลาบพันปี หรือ Rhododendron (ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ขึ้นตามป่าในระดับสูง มีพันธุ์ดอกสีขาวและสีแดง เวลาออกดอกช่วงแรกมีลักษณะเหมือนปลีกล้วย ก่อนที่จะบานเต็มต้นในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ พบมากในแถบเทือกเขาหิมาลัยและเป็นไม้ประจำชาติของเนปาลด้วย) มองลงไปยังเบื้องล่างจะพบทัศนียภาพที่งดงามของอำเภอแม่แจ่ม
การใช้เส้นทางนี้ต้องลงทะเบียนขอรับใบอนุญาตให้ใช้เส้นทางโดยติดต่อที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์อุทยานฯ และควรจัดกลุ่มละไม่เกิน 15 คน ทางอุทยานฯไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปรับประทานในเส้นทางในช่วงฤดูฝน และจะปิดเส้นทางเพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัวไม่อนุญาตให้เข้าไปท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 30 ตุลาคม ของทุกปี
อ่างกาหลวง เส้นทางนี้สำรวจวางแนวและออกแบบเส้นทางเดินโดย คุณไมเคิล แมคมิลแลน วอลซ์ นักสัตววิทยาและอาสาสมัครชาวแคนาดาประจำอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ทำงานทุ่มเทให้กับอินทนนท์ และได้เสียชีวิตที่นี่ด้วยโรคหัวใจ
เส้นทางนี้มีระยะทาง 1,800 เมตร พื้นที่นี้เป็นหนองน้ำซับในหุบเขา จุดเด่นที่น่าสนใจ คือ ป่าดิบเขาระดับสูง ลักษณะของพรรณไม้เขตอบอุ่นผสมกับเขตร้อนที่พบเฉพาะในระดับสูง การสะสมของอินทรียวัตถุในป่าดิบเขา ลักษณะอากาศเฉพาะถิ่น พืชที่อาศัยเกาะติดต้นไม้ ลักษณะของต้นน้ำลำธาร และลักษณะของต้นไม้บนดอยอ่างกา เช่นต้นข้าวตอกฤาษีที่ขึ้นตามพื้นดิน (ข้าวตอกฤาษี เป็นพืชที่ต้องการความอุดมสมบูรณ์สูง จะขึ้นในที่สูงกว่า 2,000 เมตรเท่านั้น และเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มชื้น อากาศเย็น) กุหลาบพันปี เป็นต้น
กิจกรรมดูนกบนดอยอินทนนท์
ศูนย์บริการข้อมูลนกอินทนนท์ (ร้านลุงแดง) ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ 31 หน่วยจัดการต้นน้ำแม่กลาง ให้บริการด้านข้อมูลนกในดอยอินทนนท์ เช่น สมุดบันทึกการพบนกในดอยอินทนนท์ ภาพวาดลายเส้นของนักดูนกแผนที่เส้นทางดูนกดอยอินทนนท์ ภาพถ่าย สไลด์เกี่ยวกับนก ฯลฯ ให้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ช่วงที่นักดูนกนิยมมาดูนกกันเป็นช่วงฤดูหนาว นอกจากจะได้พบนกประจำถิ่นแล้ว ยังสามารถพบนกอพยพ เช่น นกปากซ่อมดง นกอุ้มบาตร นกเด้าลมหลังเทา นกเด้าลมหลังเหลือง นกเด้าลมดง นกเด้าลมหัวเหลือง นกจาบปีกอ่อนเล็ก นกจาบปีกอ่อนหงอน นกจาบปีกอ่อนสีแดง นกเดินดงสีน้ำตาลแดง ฯลฯ ทางศูนย์ฯจะบริการให้คำแนะนำตลอดจนเป็นสถานที่พบปะสนทนาระหว่างนักดูนก นักศึกษาธรรมชาติและบุคคลทั่วไป เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ดีต่อการอนุรักษ์และรักษาสภาพธรรมชาติ ทำให้ทราบถึงแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอาหารของนกและสัตว์ป่าในดอยอินทนนท์ ให้คงอยู่ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
หมู่บ้านทอผ้าซิ่นตีนจก อยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่แจ่มไปประมาณ 3 กิโลเมตร (ข้ามสะพานข้างที่ว่าการอำเภอแล้วเลี้ยวซ้ายตรงหมู่บ้านที่ 4-5 ต.ท่าผา ชาวบ้านที่ตำบลนี้นิยมทอผ้าซิ่นตีนจกกันมาก ซึ่งทำกันถึง 150 ครอบครัว และแต่ละบ้านจะมีเครื่องทออยู่ใต้ถุนบ้าน ผลิตภัณฑ์พื้นเมืองชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างสูง เพราะมีความสวยสดงดงามและลวดลายที่ออกมามีเอกลักษณ์เฉพาะหากต้องการวิทยากรนำชมติดต่อที่ว่าการอำเภอแม่แจ่มล่วงหน้า โทร. 0 5348 5111 ต่อ ปกครองอำเภอ
อำเภอฮอด
การเดินทาง มายังอำเภอฮอด สามารถโดยสารรถประจำทางสายเชียงใหม่-ฮอด-ดอยเต่า ได้บริเวณประตูเชียงใหม่
อุทยานแห่งชาติออบหลวง ออบหลวงเป็นสถานที่น่าเที่ยวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ความสวยงามและน่ากลัวไว้ในจุดเดียวกัน กล่าวคือ เบื้องล่างเป็นแม่น้ำที่ไหลคดเคี้ยวผ่านช่องเขาขาดตรงออบหลวง ช่องเขานี้มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันและแคบมาก บีบทางน้ำไหล ดังนั้น แม่น้ำตรงนี้จึงเชี่ยวจัด เสียงน้ำกระทบหน้าผาดังสนั่น รอบๆ บริเวณงดงามไปด้วยหมู่ไม้น้อยใหญ่ ร่มรื่นอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีสะพานเชื่อมช่องเขาขาดสำหรับนักท่องเที่ยวยืนชมความงดงามของทัศนียภาพออบหลวง และภายในบริเวณอุทยานฯ มีแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วย
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก ทางอุทยานฯมีสถานที่กางเต็นท์ และมีเต็นท์ให้เช่าพร้อมเครื่องนอนในอัตราคืนละ 50 บาท รายละเอียดสอบถามอุทยานฯ โทร. 0 5322 9272
การเดินทาง อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ตามทางหลวงหมายเลข108 สายฮอด-แม่สะเรียง ตรงหลักกิโลเมตรที่ 17 รวมระยะทางประมาณ 105 กิโลเมตร สภาพทางลาดยางตลอด และช่วงระหว่างฮอดจนถึงออบหลวงนั้น ถนนจะเลียบขนานไปกับแม่น้ำแม่แจ่มหรือแม่น้ำสลักหิน และเวียนวกไปตามไหล่เขา หากเดินทางโดยรถประจำทาง มีรถบัสสีฟ้าจอดที่ท่ารถตรงวงเวียนฮอด-แม่สะเรียง วิ่งทั้งหมด 3 เส้นทาง คือ ฮอด – แม่สะเรียง ฮอด-แม่แจ่ม ฮอด-อมก๋อย ซึ่งจะผ่านออบหลวงทั้งสามสาย
เส้นทางสายเหนือ เชียงใหม่-ฝาง ทางหลวงหมายเลข 107 เชียงใหม่-ฝาง
พิพิธภัณฑ์ชาวเขา ตั้งอยู่ในบริเวณสวนล้านนา ร.9 ถนนโชตนาริมถนนสายเชียงใหม่ - แม่ริม อยู่ในความดูแลของสถาบันวิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเป็นพิพิธภัณฑ์เฉพาะทางด้านชาติพันธุ์วิทยา จัดเก็บรวบรวมวัตถุพยานหลักฐานวัฒนธรรมของชนเผ่าบนที่สูง หรือ “ชาวเขา” ประกอบด้วยกลุ่มชนจำนวน 9 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยง แม้ว เย้า ลีซอ อีก้อ มูเซอ ลัวะ ถิ่น ขมุ และกลุ่มชนเล็กที่สุดอีกกลุ่มหนึ่งคือ มลาบรี หรือผีตองเหลือง มีลักษณะวัฒนธรรมของตนเองที่แตกต่างกันไป จัดเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาวเขาที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าสำหรับผู้สนใจทั่วไป เปิดทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น. ข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 053210872, 0 5322 1933
บ้านควายไทย ตั้งอยู่ที่ 300/2 ถนนเชียงใหม่-ฝาง ต.ริมเหนือ อ.แม่ริม ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชมกิจกรรมต่างๆ การใช้ประโยชน์ในงาน การฝึกฝนให้รู้จักการเชื่อฟัง เช่นการไถดะ การไถพรวนไปจนถึงงานนวดข้าว ฯลฯ นักท่องเที่ยว ยังสามารถชมพิพิธภัณฑ์บ้านชาวนา ที่แสดงถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตของชาวนาไทย เครื่องมือการเกษตรประเภทต่างๆ มีการแสดงเป็นรอบ เช้า-บ่าย รายละเอียดสอบถาม โทร. 0 5330 1628 , 0 5384 4818 , 0 5384 4914 หรือ E-mail : srirai@hotmail.com
เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติศรีลานนา เป็นเขื่อนที่กรมชลประทานสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2520 เสร็จในปี พ.ศ. 2528ตั้งอยู่ที่หลักกม.ที่ 41 บนถนนสายเชียงใหม่-ฝาง (ทางหลวงหมายเลข 107) เลี้ยวขวาไปอีกประมาณ 11 กิโลเมตร อยู่ในเขตอำเภอแม่แตง มีที่พักและร้านอาหารบนเรือนแพไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว (รายละเอียดดูในส่วนข้อมูลที่พัก)
การเดินทาง ใช้เส้นทางเชียงใหม่-ฝาง ประมาณ 67 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าหน่วยงานฯ อีกประมาณ 21 กิโลเมตรสภาพทางช่วงนี้ลำบากมากเป็นทางลูกรังและเป็นหลุมเป็นบ่อต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น
ถ้ำเชียงดาว อยู่ในเขตอำเภอเชียงดาว การเดินทาง จากเชียงใหม่ไปยังอำเภอเชียงดาว ระยะทาง 72 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกเข้าไปจนถึงถ้ำอีก 5 กิโลเมตร เป็นถนนลาดยางจนถึงบริเวณถ้ำ มีบริเวณจอดรถกว้างขวาง ทางเข้าถ้ำเป็นบันไดมีหลังคามุงสังกะสี หน้าถ้ำมีธารน้ำไหลผ่านเต็มไปด้วยปลาหลายชนิด นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารปลาได้ หากต้องการชมบริเวณถ้ำ ติดต่อคนนำทางได้บริเวณหน้าถ้ำ
ดอยเชียงดาว อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว ยอดสูงสุดของดอยเชียงดาว เรียกว่า ดอยหลวงเชียงดาว (เพี้ยนมาจากคำที่ชาวบ้านในละแวกเปรียบเทียบดอยนี้ว่าสูง "เพียงดาว") มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนรูปกรวยคว่ำสูง 2,195 เมตร จากระดับน้ำทะเล นับเป็นยอดดอยที่สูงอันดับ 3 ของประเทศรองจากดอยอินทนนท์และผ้าห่มปก จากบนยอดดอยซึ่งเป็นที่ราบแคบๆ สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามรอบด้าน คือ ทะเลหมอกด้านอำเภอเชียงดาว ดอยสามพี่น้อง เทือกดอยเชียงดาว ตลอดจนถึงยอดดอยอินทนนท์อันไกลลิบอากาศเย็น ลมแรง และสมบูรณ์ด้วยดอกไม้ป่าภูเขาที่หาชมได้ยากมากมายรวมทั้งนกและผีเสื้อด้วย (ไม่เหมาะที่จะขึ้นไปยืนบนยอดดอยทีละกลุ่มใหญ่ๆ เพราะจะไปเหยีบย่ำทำลายพันธุ์ไม้บนนั้นได้แม้จะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม)
อุทยานแห่งชาติเชียงดาว ครอบคลุมพื้นที่อ.เชียงดาว อ.เวียงแหง และ อ.ไชยปราการ พื้นที่ทั้งหมด 1,155 ตารางกิโลเมตร จึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญของแม่น้ำปิง
ดอยอ่างขาง บนเส้นทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ฝาง) ประมาณกิโลเมตรที่ 137 จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านยางที่ตลาดแม่ข่า เข้าไปอีกประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นทางลาดยาง สูงและคดเคี้ยว ต้องใช้รถสภาพดีและมีกำลังสูง คนขับชำนาญ หรือจะหาเช่ารถสองแถวได้ที่ตลาดแม่ข่า อากาศบนดอยหนาวเย็นตลอดปีโดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อากาศเย็นจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็ง นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมเครื่องกันหนาวมาให้พร้อม เช่น หมวก ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อกันหนาว สถานที่น่าสนใจบนดอยมีหลายแห่ง ได้แก่
มีความสูง 2,285 เมตร จากระดับน้ำทะเล จึงมีเมฆหมอกปกคลุมยอดดอยและมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ดอยผ้าห่มปก คือหนึ่งในเทือกเขาแดนลาวที่ทอดตัวยาวตั้งแต่ทางตอนใต้ของยูนนานลงมาแบ่งชายแดนไทย-พม่า ตั้งแต่เชียงรายไปจนถึงแม่ฮ่องสอนจนไปจรดกับเทือกเขาถนนธงชัย บนดอยผ้าห่มปกมีนก และผีเสื้อที่น่าสนใจ เช่น นกปีกแพรสีม่วง นกปรอดหัวโขนก้นเหลือง ผีเสื้อมรกตผ้าห่มปกซึ่งพบที่นี่แห่งเดียวเท่านั้นในประเทศไทย ผีเสื้อหางติ่งแววเลือน ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ เป็นต้น ในฤดูหนาวมีนกอพยพมาอาศัย เช่น นกเดินดงคอแดง นกเดินดงดำปีกเทา นกเดินดงสีน้ำตาลแดง เป็นต้น
ดอยผ้าห่มปก
นักท่องเที่ยวตั้งแค้มป์พักแรมได้ตรงบริเวณกิ่วลม เนื่องจากทางอุทยานแห่งชาติไม่อนุญาตให้พักแรมบนยอดดอยผ้าห่มปกซึ่งเป็นหน้าผาชันและอาจเกิดอันตรายได้ การเดินทางขึ้นยอดดอยผ้าห่มปกต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน 1 คืน ก่อนเดินทางควรติดต่อขออนุญาต ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่ฝาง ค่าเช่ารถขึ้นจากอุทยานไปส่งที่ทางขึ้นดอยไปส่ง-รับประมาณ 1,500 บาท สอบถามรายละเอียดที่อุทยานฯ โทร. 0 5345 1441 ต่อ 302
การเดินทาง จาก อ.ฝาง ใช้ทาง รพช. สายฝาง-บ้านห้วยบอน ไปจนถึงบ้านห้วยบอน ให้ตรงไปตามทางลูกรังอีกประมาณ 5 กิโลเมตร มีทางแยกขวาขึ้นเขาชันไปประมาณ 13 กิโลเมตร จะพบหน่วยจัดการต้นน้ำดอยผาหลวง ตรงไปจนพบสามแยก ถ้าตรงไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร จะถึงหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สาวถ้าไปทางแยกซ้ายประมาณ 5 กิโลเมตร จะถึงกิ่วลมซึ่งมีลักษณะเป็นเขาและมีลานสำหรับจอดรถได้ถ้าเดินทางต่อจากกิ่วลมไปอีก 5 กิโลเมตร จะถึงปางมงคล ผู้สนใจเดินทางขึ้นดอยผ้าห่มปกต้องติดต่อที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติก่อนการจะเดินทางขึ้นสู่จุดยอดดอยผ้าห่มปกนั้นต้องเตรียมตัวอย่างดีเพราะต้องเดินป่าปีนเขาอย่างสมบุกสมบันและที่นี่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมไปเอง
ท่าตอน-เชียงราย ท่าตอนเป็นหมู่บ้านหนึ่งในเขตอำเภอแม่อาย เป็นที่ซึ่งแม่น้ำกกไหลผ่านลงไปถึงตัวอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย แม่น้ำกกนี้เป็นแม่น้ำสายสำคัญในการคมนาคมระหว่าง 2 จังหวัด ปกติแล้วจะมีเรือหางยาวบริการรับส่งผู้โดยสารจากท่าตอนล่องไปตามแม่น้ำกกจนถึงเชียงราย จะเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฟากฝั่งแม่น้ำกก ซึ่งเรือดังกล่าวออกจากท่าตอนเวลา 12.30 น. ไปถึงเชียงรายประมาณ 17.00 น.
วัดท่าตอน เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาต่อเนื่องกันหลายลูก มีเนื้อที่กว่า 400 ไร่ อยู่ติดริมแม่น้ำกก เป็นวัดเก่าแก่ และเป็นสถาบันการศึกษาสำหรับพระภิกษุ สามเณร และเยาวชน เป็นศูนย์บำบัดยาเสพติด และสงเคราะห์ชาวเขา และเนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50 ทางวัดได้ริเริ่มโครงการก่อสร้าง้าม
เจดีย์แก้วเฉลิมพระเกียรติไว้บนยอดเขา เป็นวัดที่มีทิวทัศน์งดงามด้านบนมีจุดชมวิวซึ่งจะมองเห็นชุมชน ทุ่งนา และแม่น้ำกกไหลคดเคี้ยวอยู่เบื้องล่าง
อำเภอแม่อาย นอกจากวัดท่าตอนแล้วยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่นสวนส้มสาย้ำผึ้งหลายสวน มีผลผลิตแทบทั้งปี ยกเว้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน
สวนกล้วยไม้และฟาร์มผีเสื้อ ตามเส้นทางนี้มีอยู่หลายแห่งที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ได้รวบรวมพันธุ์กล้วยไม้ที่แปลกและหาดูได้ยากไว้ด้วย อาทิ สายน้ำผึ้งพิพิธภัณฑ์กล้วยไม้ไทย ไปตามถนนสายแม่ริม-สะเมิง 2 กิโลเมตร และแยกซ้ายอีก 1 กิโลเมตร เป็นสวนกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ มีฟาร์มผีเสื้อ แมวไทย และสัตว์อื่นๆ ให้ชมด้วย โทร. 053297152, 0 53298771-2 ตรงกันข้ามเป็น สวนกล้วยไม้เมาท์เท่น ออร์คิด โทร. 053297343 แม่แรมออร์คิด ตั้งอยู่ประมาณกิโลเมตรที่ 5.5 มีการปลูกพันธุ์กล้วยไม้นานาชนิด สาธิตการปลูกกล้วยไม้ และจัดเป็นฟาร์มผีเสื้อด้วย จำหน่ายสินค้าที่ระลึกประเภทเครื่องประดับ เช่น เข็มกลัด ต่างหู สร้อย ซึ่งทำจากกล้วยไม้ ใบไม้ และแมลงต่างๆ โทร. 053298801-2
สวนสัตว์แมลงสยาม siam insect-zooเปิดแล้วทุกวันที่ กม 4 (120 ม. จากปากซอยโรงเรียนลิง) แหล่งเพาะเลี้ยงแมลง พิพิธภัณฑ์แมลงสะสมมานานกว่า 20 ปี จากทั่วโลก และสวนผีเสื้อที่ใหญ่พอสมควรแต่คุยได้ว่าดีที่สุดในไทย
ฟาร์มงูแม่สา ตั้งอยู่ประมาณกิโลเมตรที่ 3 เส้นทางสายแม่ริม-สะเมิง เป็นสถานที่รวบรวมพันธุ์งูที่มีในเมืองไทยและศึกษาด้านการขยายพันธุ์ มีการแสดงของงูและการรีดพิษงูให้นักท่องเที่ยวชมทุกวัน แบ่งเป็นรอบๆ แต่ละรอบใช้เวลาแสดงประมาณ 30 นาที ข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 053860719
น้ำตกแม่สา แยกเข้าทางซ้ายมือตรงกิโลเมตรที่ 7 เข้าเขตวนอุทยาน น้ำตกแม่สาเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของอำเภอแม่ริม แบ่งเป็นชั้นๆ ขึ้นไปตามเชิงเขาถึง 8 ชั้น ชั้นที่สวยที่สุด คือชั้นที่ 5-7 ความสูงชั้นละประมาณ 6-8 เมตร ทั่วบริเวณปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ ทำให้สภาพอากาศร่มรื่นเย็นสบายตลอดปี เป็นสถานที่พักผ่อนที่ได้รับความนิยมมากทั้งชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวต่างถิ่น
สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ตั้งอยู่ในพื้นที่จำนวน 3,500 ไร่ ทางเข้าอยู่ด้านซ้ายมือบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 12 สายแม่ริม-สะเมิง จัดทำเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทยและมีมาตรฐานระดับนานาชาติ เป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะไม้ประจำถิ่นและไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ เพื่อจัดปลูก ขยายพันธุ์ และศึกษาวิจัย
ลักษณะการจัดสวนของที่นี่จะแบ่งพันธุ์ไม้ตามวงศ์และความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ รวบรวมพันธุ์ไม้ทั้งในและต่างประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ สามารถขับรถเที่ยวชมรอบๆ ได้ จุดที่แวะชมได้ คือ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ศูนย์เพาะกล้วยไม้ไทย อาคารพืชสมุนไพร พิพิธภัณฑ์พืชสมุนไพร ศูนย์วิจัย และอาคารเรือนกระจก และมีเส้นทางเดินเท้าที่จัดไว้ 3 เส้น คือ 1. Rock Garden – Thai Orchid Nursery (สวนหิน-ศูนย์อนุบาลกล้วยไม้ไทย) ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที 2. Arboreta (เส้นทางศึกษาพรรณไม้) รวบรวมพรรณไม้ไว้มากกว่า 10 วงศ์ เช่น กล้วย ปาล์ม ไซแคด เฟิร์น ขิง เป็นต้น ใช้เวลา 45-60 นาที 3. Climber Collection (เส้นทางขึ้นเขา) ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.30-17.00 น. ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อที่ โทร. 053298171-5 ต่อ 4736, 4739 และ 0 5329 9753-4 โทรสาร 0 53299754
บ้านม้ง (แม้ว) แม่สาใหม่
เลี้ยวซ้ายมือตรงกิโลเมตรที่ 12 เข้าไปอีก 7 กิโลเมตร แต่สภาพทางเป็นลูกรังและสูงชัน ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจ คือความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมประเพณีการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ งานศิลปหัตถกรรมของชาวเขา
น้ำตกหมอกฟ้า อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เดินทางไปตามถนนสายแม่มาลัย-ปาย กิโลเมตรที่ 19 แยกซ้ายเข้าไปเป็นทางลูกรังอีกประมาณ 2 กิโลเมตรจึงจะถึงน้ำตก เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่มีน้ำไหลตลอดทั้งปีและมีบรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ ในตอนเช้าจะมีแสงแดดส่องถึงลงมาสะท้อนกับสายน้ำสีขาวทำให้เกิดเป็นรุ้งประกายสวยงามมาก ที่หน้าผาจะมีมอส เฟิร์นเกาะสีเขียวชื้น และหากมาในช่วงฤดูหนาวใบไม้ร่วง จะให้บรรยากาศที่ดีไปอีกแบบ
จากถนนหลักเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นทางลูกรังสลับคอนกรีต จากที่จอดรถเดินถึงตัวน้ำตกประมาณ 300 เมตร และบริเวณริมน้ำตกมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติประมาณ 400 เมตร และที่หน่วยฯ มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ออกแบบได้กลมกลืนกับพื้นที่และสวยสบายๆ มีบ้านพัก 4 หลัง และมีเต็นท์ให้เช่า ผู้ที่เดินทางมาเองสามารถโดยสารรถสองแถวสายแม่มาลัย-สบเปิง
อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 179.5 ตารางกิโลเมตร หรือ 112,187.5 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและภูเขาสูงสลับซับซ้อน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง มีฝนตกชุกในเดือน พฤษภาคม-ตุลาคม ฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 34 องศาเซลเซียส สถานที่ที่มีผู้นิยมมาท่องเที่ยว ได้แก่
จุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) ตั้งอยู่ที่ตำบลกึ๊ดช้าง อำเภอแม่แตง อยู่บริเวณที่ทำการอุทยาน เป็นจุดชมวิวที่สวยงามและมีชื่อเสียงมาก มองเห็นดอยเชียงดาว คอยชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่ได้ และในช่วงปลายฤดูหนาวดอกไม้กำลังบานสวยงามมาก
หมอกที่เกิดที่นี่คือ หมอกที่เกิดขึ้นในหุบเขา (Radiation Fog)เนื่องจากเวลากลางคืนในหุบเขาอุณหภูมิจะลดต่ำลง ทำให้เกิดการกลั่นตัวเป็นละอองน้ำ และปรากฏเป็นทะเลหมอกในเวลาเช้าหรือหลังฝนตกและใกล้ๆ กับที่ทำการจะมี เส้นทางศึกษาธรรมชาติเอื้องเงิน มีระยะทาง 1,470 เมตร ความลาดชันปานกลาง ใช้เวลาในการเดินประมาณ 1 ชั่วโมง
การเดินทางไปยังอุทยานฯ จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามทางหลวงหมายเลข 107 (สายเชียงใหม่-ฝาง) ระยะทางประมาณ 37 กิโลเมตร ถึงตลาดแม่มาลัย อ.แม่แตง แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1095 (สายเชียงใหม่-ปาย) อีกประมาณ 65 กิโลเมตร ถึงด่านตรวจอุทยานฯ ซึ่งอยู่ด้านขวามือเข้าไปอีก 6 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ และหากเดินทางต่อไปอีก 1 กิโลเมตร ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือเดินทางโดยรถประจำทางจากสถานีขนส่งเชียงใหม่ (สายเชียงใหม่-ปาย) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
บ่อน้ำพุร้อนตามเส้นทางนี้มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่สองแห่งตกแต่งสถานที่ด้วยสวนดอกไม้สวยงาม มีห้องอาบน้ำแร่ ที่พัก สถานที่กางเต็นท์ ร้านอาหาร ได้แก่ น้ำพุร้อนสันกำแพง อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 34 กิโลเมตร สามารถไปได้ 2 ทางด้วยกัน คือ เส้นทางเชียงใหม่-สันกำแพง-สถานีเพาะพันธุ์กล้าไม้สัก-น้ำพุร้อน (เส้นทางนี้จะผ่านถ้ำเมืองคอน ซึ่งอยู่ห่างจากน้ำพุร้อน 4 กิโลเมตร) หรือเส้นทางเชียงใหม่-สันกำแพง-หมู่บ้านออนหลวย-น้ำพุร้อน หากเดินทางโดยรถประจำทางขึ้นรถสายดอยสะเก็ด – น้ำพุร้อนสันกำแพง จากตลาดวโรรส ด้านทิศเหนือติดแม่น้ำปิงไปยังสันกำแพง และเช่าเหมารถสองแถวจากสันกำแพงไปน้ำพุร้อนในราคาประมาณ 200 บาทต่อคัน สำรองที่พักล่วงหน้าที่ ธุรกิจน้ำพุร้อนสันกำแพงหมู่บ้านสหกรณ์ โทร. 053929077 และรุ่งอรุณน้ำพุร้อน รายละเอียดติดต่อ โทร. 053248475
กิจกรรมที่น่าสนใจ
ขี่ช้าง
- สายเชียงใหม่-ฝาง(ทางหลวง 107) ท่าแพแม่ตะมาน จากเชียงใหม่มาตามทางหลวง 107ประมาณ 43 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้ามาประมาณ 7 กิโลเมตร โทร. 053297060 ปางช้างแม่แตง เข้าทางเดียวกับท่าแพแม่ตะมานจากปากทางเข้ามา 9 กิโลเมตร ตรงข้ามวัดแม่ตะมาน โทร. 053844818, 0 5327 2855 , 0 5327 1680 และ ศูนย์ฝึกช้างเชียงดาว ประมาณกิโลเมตรที่ 56 หากมาจากเชียงใหม่จะอยู่ทางขวามือ เป็นศูนย์ที่รับฝึกลูกช้างเพื่อใช้งานชักลากไม้จริง แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วยโดยคิดค่าข้าชมผู้ใหญ่ 60 บาท เด็ก 30 บาท ชมได้วันละ 2 รอบ คือ 09.00 น. และ 10.00 น. ทุกวัน รายละเอียดติดต่อ โทร. 053298553, 0 53862037
- สายแม่ริม-สะเมิง ที่ปางช้างแม่สา กิโลเมตรที่ 10 และที่ปางช้างโป่งแยง เข้าทางเดียวกับไร่กังสดาล (กิโลเมตรที่ 18.5)
สายสันป่าตอง-แม่วาง ทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) ไปประมาณ 23 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาตามทางหลวงหมายเลข 1013 (สันป่าตอง-บ่อแก้ว) ไปอีก กม.ที่ 22 สังเกตหน่วยป่าไม้แม่วิน มีบริการล่องแพและนั่งช้างเที่ยวป่าประมาณ 5 จุดเรียงรายตลอดแนวถนน สามารถให้ควาญช้างนำชมสวนป่า หมู่บ้านชาวม้ง บ้านกะเหรี่ยงบริเวณนั้นได้ทุกฤดูกาลใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง รับนักท่องเที่ยวได้ครั้งละ 2-4 คน ติดต่อเจ้าของแพโดยตรง น้ำแม่วาง เป็นสายน้ำใหญ่ไหลเลียบเชิงเขาด้านที่ติดกับอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ในอำเภอแม่วาง มีทิวทัศน์สองฟากฝั่งลำน้ำงดงามร่มรื่น ท่าแพแม่วางลุงมี อยู่ในเขตอำเภอสันป่าตอง จากสามแยกสันป่าตองไปทาง ต.บ้านกาด ประมาณ 24 กิโลเมตร ที่ท่าแพมีบริการขี่ช้างแก่นักท่องเที่ยวเพื่อชมธรรมชาติบริเวณรอบๆ ท่าแพ บริการล้อเกวียน และการล่องแพชมธรรมชาติที่งดงาม ทั้งสองริมฝั่งแม่น้ำวางแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีน้ำตกแม่วางที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปีอยู่ในบริเวณใกล้เคียงซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป
ล่องแพ-ล่องแก่ง
- ล่องแพลำน้ำแม่แตงเป็นกิจกรรมที่กำลังได้รับความนิยมมากเนื่องจากลำน้ำแม่แตงไหลคดเคี้ยวไปตามหุบเขาด้วยกระแสน้ำที่ไม่เชี่ยวจนเกินไป และมีทัศนียภาพตลอดสองฝั่งลำน้ำที่งดงามมาก การเดินทางเริ่มต้นที่โป่งเดือด โดยเดินป่าไปพักค้างแรมที่บ้านป่าข้าวหลามซึ่งเป็นบ้านกะเหรี่ยง 1 คืน จากนั้นจึงลงแพล่องลำน้ำแม่แตงไปสิ้นสุดที่บ้านสบก๋ายใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การล่องแพลำน้ำแม่แตงที่สุดอยู่ในช่วปลายฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว ผู้สนใจติดต่อบริษัททัวร์ในเมืองเชียงใหม่ที่ให้บริการล่องแพลำน้ำแม่แตง
- ล่องแก่งลำน้ำแม่แตง การล่องแก่งในสายน้ำแม่แตงสามารถแบ่งได้เป็นสามช่วงด้วยกัน คือ ช่วงแรก จากบ้านเมืองคอง-บ้านป่าข้าวหลาม เส้นทางช่วงนี้ค่อนข้างจะราบเรียบ ช่วงที่สอง คือบ้านป่าข้าวหลาม-บ้านสบก๋าย จะมีแก่งเยอะ เป็นช่วงที่ค่อนข้างสนุก ส่วนช่วงที่สาม คือบ้านสบก๋าย-แคมป์ช้างแม่แตงสามารถพายคยัคได้ แต่เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์มาแล้ว
- ล่องแพน้ำแม่แจ่ม สามารถล่องได้ทั้งปี แต่ในฤดูฝนน้ำจะขุ่นไหลแรง ฤดูแล้งน้ำใส มีล่องทั้งเรือยาง และแพไม้ไผ่ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- ล่องแพแม่น้ำกก ปัจจุบันนี้ การล่องแพแม่น้ำกกเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาก ได้ชมทัศนียภาพที่งดงามและชีวิตความเป็นอยู่ริมฟากแม่น้ำกก นักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะล่องแพสามารถติดต่อกับบริษัทนำเที่ยวในบริเวณบ้านท่าตอน เช่น ท่าตอนทัวร์ โทร. 0 5337 3143 ชาวแพ (ทิพย์ ทราเวล) โทร.0 5345 9312 กลางบ้านท่าตอน โทร. 0 5345 9138
ล่องเรือชมทัศนียภาพแม่น้ำปิง
ปัจจุบันได้มีเอกชนดำเนินกิจการล่องเรือหางยาวและเรือขนาดกลาง ชมทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่ สองฝั่งแม่น้ำปิงมีทั้งบรรยากกาศของเมืองเชียงใหม่ สองฝั่งแม่น้ำปิงมีทั้งบรรยากาศของตัวเมืองและชนบทซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับการล่องเรือดังกล่าวโดยติดต่อกับบริษัทแม่ปิงริเวอร์ครูซ โทร. 0 5327 4822 ในราคาค่าบริการ ไป-กลับคนละ 300 บาท ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
จักรยานเสือภูเขา
เป็นกิจกรรมที่ทำได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง ได้ทั้งความสุนทรียภาพและสุขภาพที่แข็งแรง เส้นทางมีหลายแห่งให้เลือก เช่น รอบคูเมือง, ดอยสุเทพ-ขุนช่างเขียน-ห้วยตึงเฒ่า, ห้วยน้ำดัง, ห้วยน้ำรู, แม่แตง
การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม และขันโตก
- นครล้านนา 1296 ได้รวบรวมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ของชนชาติไทยทั้ง 4 ภาค วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ประวัติศาสตร์หลากหลายรูปแบบที่น่าสนใจ การแสดงของชาวเขาเผ่าต่างๆ พร้อมทั้งบริการอาหารขันโตก ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 19.00-21.15 น. ตั้งอยู่เลขที่ 84 ถ.ช้างคลาน อ.เมือง สอบถามรายละเอียด โทร. 0 5381 8428-9
- ละครหุ่นเชียงใหม่ ศิลปะการแสดงละครหุ่น นับเป็นสื่อทางวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเสนอวามงดงามทางศิลปะและความบันเทิงที่มีความแตกต่างจากนาฏศิลป์ฟ้อนรำทั่วไป ได้ทั้งสาระความบันเทิง ตื่นตา เร้าใจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยคณะละครหุ่นฮอบบีฮัท (Hobby Hut Puppet Troupe) มีดนตรีซะล้อ ซอ ซึงประกอบการขับซอเป็นดนตรีประกอบ เรื่องที่แสดงหลักมีอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ สังข์ทอง เหยีนลี่ ปีศาจน้ำเต้า และ กินรี ยูงคำ มีการพากย์สดด้วยภาษาพื้นเมือง
การแสดงละครหุ่นพื้นเมืองเชียงใหม่มิได้จัดตลอด สนใจชมโปรดติดต่อ อ.วิลาวัณย์ เศวตรเศรณี เลขที่ 237/73 ถ.ห้วยแก้ว ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โทร. 0 5389 2450 E-mail : hobbyhut@chmai.loxinfo.co.th
– ศูนย์ศิลปะการแสดงกาดสวนแก้ว มีกิจกรรมและการแสดงละครทั้งของไทยและต่างประเทศ สอบถามรายการการแสดงได้ที่ โทร. 053224333 ต่อ กาดศิลป์
- ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนถนนสายเชียงใหม่-หางดง เป็นที่รวมศิลปะและวัฒนธรรมของล้านนารวมทั้งผ้าโบราณ มีหมู่บ้านชาวเขาให้เที่ยวชม ตอนกลางคืนมีบริการอาหารเย็นแบบขันโตก และชมการแสดงฟ้อนพื้นเมืองไปพร้อมๆ กัน การแสดงมีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 19.00-22.00 น. ติดต่อล่วงหน้าได้ที่ โทร. 0 53275097
นอกจากนี้ยังสามารถชมการแสดงและรับประทานอาหารค่ำขันโตกดังกล่าวได้ที่ ลานนาขันโตก โรงแรมเพชรงาม โทร. 0 5327 0080-5 แม่ปิงขันโตก โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง โทร. 0 5327 3900 คุ้มแก้วพาเลส โทร. 0 5321 4315 ขันโตกบ้านร้อยจันทร์ โรงแรมปางสวนแก้ว โทร. 0 5322 4300 และ สิบสองปันนา โทร. 0 5381 0695 ได้ในเวลาเดียวกัน และอัตราค่าบริการใกล้เคียงกัน
เทศกาลและงานประเพณี
งานร่มบ่อสร้าง จัดขึ้นประมาณเดือนมกราคมของทุกปี ที่บริเวณศูนย์หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง มีการแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากกระดาษสา โดยเฉพาะร่มบ่อสร้าง มีการแสดงทางวัฒนธรรม ขบวนแห่ ประเพณีพื้นบ้าน และการประกวดต่างๆ
งานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ จัดขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ ในงานจัดให้มีการประกวดสวนหย่อมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ภาคเช้าของงานจะจัดให้มีขบวนรถบุปผชาติ และนางงามบุปผชาติ แห่จากบริเวณหน้าสถานีรถไฟ ผ่านสะพานนวรัฐไปสู่สวนสาธารณะหนองบวกหาด
ประวัติ / ความเป็นมา
เนื่องจากชาวเชียงใหม่นิยมปลูกไม้ดอกไม้ประดับกันมากและพอถึงฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่ดอกไม้บานสะพรั่งเพราะเชียงใหม่เป็นแหล่งที่ปลูกดอกไม้ที่ดีที่สุด เพราะเป็นพื้นที่แถบสูงอากาศชื้นสืบเนื่องจากโครงการตามพระราชดำริที่มุ่งให้ชาวเขาหันมาปลูกพืชผลอื่นแทนการปลูกฝิ่นจึงนิยมที่จะปลูกดอกไม้และผลไม้เมืองหนาวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น ปลูกเชอรี่ ท้อเมื่อถึงฤดูร้อน (เมษายน-พฤษภาคม) ดอกท้อและดอกเชอรี่ก็จะบานสะพรั่งเต็มหุบเขา
ดอกไม้ที่มีอยู่ในเมืองไทยนั้นส่วนใหญ่จะบานในช่วงต้นปี คือเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ อวดสีสันและดอกบานนับตังแต่ดาวเรือง บานชื่นบานไม่รู้โรย เบญจมาศ หงอนไก่ กุหลาบพันธุ์ต่างๆ กล้วยไม้ทุกสายพันธุ์ต่างทยอยกันชูช่อ นับแต่ฟ้ามุ่ยไปจนถึงเอื้องดอกเล็กแบบบาง
ดังนั้นที่บริเวณเชียงใหม่เป็นหน้าดอกไม้บานในหุบเขาอย่างแท้จริงบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง และประเพณีของคนเมืองที่ชื่นชมความงามของดอกไม้มาแต่โบราณก่อให้เกิดการจัดงานบุปผชาติขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในเชียงใหม่
กำหนดงาน
งานนี้จัดให้มีขึ้นในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์เป็นเวลา 3 วันสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ที่www.tat.or.th/festival
กิจกรรม / พิธี
สถานที่จัดงานจะจัดที่เริ่มจากตลาดดอกไม้และต้นไม้ ที่สวนสาธารณะบวกหาดบริเวณงดงามในเขตเมืองเก่าใกล้กำแพงและประตูเมือง มีคูน้ำล้อมรอบดอกไม้และพืชผักต่างๆ ทำให้ตลาดนัดแห่งนี้งดงาม เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาภายในงานจะจัดให้มีขบวนแห่บุปผชาติเริ่มมีตั้งแต่เช้าเคลื่อนไปตามเส้นทางสายหลักในตัวเมือง เริ่มจากสะพานนวรัฐข้ามแม่น้ำปิง ถนนท่าแพและถนนราชดำเนินแต่ละอำเภอส่งรถที่ตกแต่งงดงามด้วยดอกไม้และพืชผลพร้อมด้วยคนงามประจำท้องถิ่นของตนนั่งประจำมาด้วย เชียงใหม่มี 10 อำเภอกับ 1 กิ่งอำเภอ แต่ละอำเภอมุ่งเสนอผลผลิตเฉพาะของตนรวมทั้งเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใครกับสาวงามซึ่งมักจะมีตำแหน่งเทพีในระดับท้องถิ่น จังหวัด ภาค และระดับชาติไปตนถึงนานาชาติ
เชียงใหม่ไม่เคยขาดสาวงาม ส่วนรถบุปผชาติ เชียงใหม่จะแต่งตัวสวยงามสดชื่นใหม่หมดทั้งเมืองและให้โอกาสผู้มาเยือนได้รับประโยชน์อย่างยิ่งดอกไม้ ผัก ผลไม้จำนวนมหาศาลถูกนำมาประกอบงานไม้ดอกไม้ประดับแห่งนี้ฝีมือจัดแต่งดอกไม้อย่างประณีตงองามที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ประสานกันเข้าอย่างงดงามขบวนแห่จะสิ้นสุดลงที่สวนสาธารณะบวกหาดซึ่งมีงานใหญ่ ทั้งที่แสดงและขายไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ตัดดอก ผัก ผลไม้และการแสดงทางวัฒนธรรม บันเทิง หลายรูปแบบ ตลอดสามวันสามคืน
งานประเพณีสงกรานต์ จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดงานประเพณีสงกรานต์ขึ้นเป็นประจำทุกปี ในระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน โดยในวันที่ 13 จะเป็นวันมหาสงกรานต์ มีขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์ และขบวนแห่นางสงกรานต์ โดยเริ่มจากวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร แห่ไปรอบเมืองเชียงใหม่ แล้วมีพิธีสรงน้ำพระ ก่อพระเจดีย์ทราย รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกัน
งานประเพณียี่เป็ง จัดขึ้นในช่วงวันลอยกระทงของทุกปี เป็นงานประเพณีที่น่าสนใจยิ่งของจังหวัดเชียงใหม่ จะมีการปล่อยโคมลอยเพื่อเป็นการบูชาพระธาตุจุฬามณีบนสวรรค์ มีการจุดดอกไม้ไฟ ประกวดกระทง ขบวนแห่นางนพมาศ ฯลฯ
ประเพณีเข้าอินทขีล ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ชาวเชียงใหม่จะร่วมกันประกอบพิธีบูชาอินทขีล ซึ่งเป็นเสาหลักเมือง โดยจำนำดอกไม้ธูปเทียนมาใส่ขันหรือถาดกราบไหว้บูชาอินทขีล
ประเพณีตานหลัวพระเจ้า เป็นประเพณีการนำฟืนมาเผาเพื่อให้พระพุทธเจ้าได้ผิงไฟ จัดในเดือน 4 เหนือ (ประมาณเดือนมกราคม) จัดที่วัดยางหลวงหรือวัดป่าแดด อำเภอแม่แจ่มเท่านั้น
จุลกฐิน หลังจากผ่านเทศกาลออกพรรษาแล้วยังมีกฐินที่เรียกว่า จุลกฐิน หรือที่คนโบราณเรียกว่า “กฐินแล่น” ที่มีลักษณะพิเศษ คือ ไม่ใช่ถึงเวลาก็สามารถไปทอดที่วัดได้ หากแต่คิดจะร่วมจุลกฐินแล้ว ต้องเตรียมตัวก่อนเข้าพรรษาด้วยซ้ำไป โดยเริ่มตั้งแต่ ปลูกฝ้าย ดูแลรักษาให้งอกงามจนต้นฝ้ายโตแตกเป็นปุย พอดีเมื่อถึงเวลาทอดกฐิน
สาวพรหมจรรย์ 6 นาง นุ่งขาว ห่มขาว ฟ้อนรำจากวิหารออกไปสู่ไร่ฝ้าย เพื่อเก็บมาให้ชาวบ้านช่วยกันดีดฝ้ายจนฟู นำมาปั่นเป็นหลอดเป็นเส้นใย แล้วทอย้อมสีให้เสร็จ ผึ่งแดดให้แห้ง รีดให้เรียบเพียงชั่วข้ามคืน
ตอนบ่ายตั้งขบวนด้วยความเริงรื่น ปลื้มใจที่ถวายกฐินเสร็จ จากนั้นแห่ผ่านทุ่งนา ด้วยกลอง สะบัดชัย ตามด้วยการฟ้อนเจิง ศิลปะเก่าแก่ของพ่อเฒ่า มาถวายที่วัดยางหลวง วัดเก่าแก่ของ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
งานร่มบ่อสร้าง จัดขึ้นประมาณเดือนมกราคมของทุกปีที่บริเวณศูนย์หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง มีการแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากกระดาษสาโดยเฉพาะร่มบ่อสร้าง
|
|
ประวัติ / ความเป็นมา
ประเพณีสืบชะตา เป็นประเพณีที่นิยมถือปฏิบัติกันของชาวไทยทางภาคเหนือเพื่อความสวัสดิมงคลมาสู่บ้านเมือง ครอบครัว และตนเอง จึงมีการสืบชะตาเมืองสืบชะตาบ้าน และสืบชะตาคน สืบชะตาเมือง เป็นประเพณีสำคัญของทางเชียงใหม่ที่จะต้องถือปฏิบัติกันทุกปีการทำบุญเมืองนั้นเพื่อสร้างความร่มเย็นเป็นสุขในแก่ชาวบ้านชาวเมืองเป็นการสร้างความสามัคคีพร้อมเพรียงให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนพลเมืองตลอดจนพ่อค้าคหบดี ข้าราชการ เจ้าบ้านเมือง เนื่องจากในสมัยโบราณกล่าวกันว่าการสืบชะตาเมืองมักจะจัดขึ้นในสองกรณีคือ
กรณีแรกจัดในยามที่บ้านเมืองเดือดร้อน ข้าวยากหมากแพงหรือเกิดศึกสงครามมีทั้งการสืบชะตาเมือง สืบชะตาเจ้าเมือง ทำบุญบูชาเซ่นไหว้พระวิญญาณของเจ้าผู้ครองเชียงใหม่องค์ก่อนๆ ตลอดจน "พระเสื้อบ้าน พระเสื้อเมือง"เทพาอารักษ์ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
กรณีที่สองจัดในยามที่บ้านเมืองสงบสุข เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่บ้านเมือง
\ กำหนดงาน
จัดวันใดวันหนึ่งของเดือนเก้า(ภาคเหนือ) การจัดเดือนเก้าเพราะชื่อเดือนเป็นมงคลสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ที่www.tat.or.th
\กิจกรรม / พิธี
ในสมัยโบราณให้เอาดอกไม้ธูปเทียน นิมนต์พระสงฆ์มาทำมังกะละที่กลางเวียงเชียงใหม่ 1 แห่งประตูเวียงทั้ง 5 แต่ละประตูมีพระสงฆ์ 9 รูปสวดมนต์ตั้งลำและฟังธรรมสารากริชานสุตรและให้ตั้งพระพุทธรูปทุกแห่ง ให้มีน้ำขมิ้มส้มป่อย ใส่บาตรก่อเจดีย์ทรายประดับด้วยจ้อและตุง ไม้ค้ำ ไม้ขัว ฝ้ายล้าง คาเขียว ต๋าแหลง ปันจั๊นผังผะติ๊บใส่น้ำมัน หน่วยไม้ ให้ข้าราชการชาวบ้านชาวเมืองได้มาทำบุญใส่บาตรบริจาคทานตามอายุเมือง พิธีการเหล่านี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งวันและต้องจัดทำทุกปี
ส่วนในปัจจุบันได้จัดสถานที่ประกอบพิธีรวม 10 แห่งคือ
1. กลางเวียงเชียงใหม่
2. ประตูเชียงใหม่
3. ประตูช้างเผือก
4. ประตูท่าแพ
5. ประตูสวนดอก
6. ประตูสวนปรุง
7. แจ่งศรีภูมิ
8. แจ่งขะต๊ำ
9. แจ่งกู่เฮือง
10. แจ่งหัวลิน
สถานที่ทั้ง 10 แห่งก็จะมีพิธีขึ้น "ค้างตั้งสี่"นิมนต์พระสงฆ์ 9 รูปเจริญพระพุทธมนต์ (ตั้งลำ) แสดงพระธรรมเทศนาสารากริชานสุตรเลี้ยงพระถวายไทยทาน และทุกแห่งมีสิ่งประกอบพิธีดังนี้ ตั้งโต๊ะหมู่บูชามีน้ำเข้าขมิ้นส้มป่อย (น้ำที่แช่ด้วย ฝักส้มป่อยแห้งเผาไฟพอหอมกับดอกไม้หอมตากแห้ง เช่น ดอกสารภี เมื่อแช่นานๆน้ำจะมีสีเหลืองโดยที่ไม่ใส่ขมิ้นเลย) ก่อเจดีย์ทราย ช่อตุง ไม้ค้ำ ไม้ขัวฝ้ายล้าง (สายสิญจน์) การเจียว ต๋าแหลง และผังผะติ๊บ เริ่มพิธีตั้งแต่ประมาณ 9.00 นเสร็จพิธีแล้วเอาน้ำมนต์จากสถานที่ประกอบพิธีทุกแห่งมารวมที่สถานที่ประกอบพิธีกลางเวียงเชียงใหม่เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน และในตอนเช้าเวลา 05.00 น.มีการนิมนต์พระสงฆ์ สามเณรจำนวนเท่ากับอายุเมืองมารับบิณฑบาตที่กลางเมือง
นอกจากพิธีสืบชะตาเมืองของทางเมืองเชียงใหม่แล้วทางเหนือทั่วไปก็นิยมจัดประเพณีสืบชะตาบ้าน และสืบชะตาคนอีกด้วยรายละเอียดดังต่อไปนี้
ประเพณีสืบชะตาบ้านบ้านเรือนนั้นมีความสำคัญสำหรับครอบครัวเพราะมีบ้านมีเรือนจึงจะบันดาลความสุขหรือความทุกข์ให้กับคนในครอบครัวเพราะฉะนั้นภายในหมู่บ้านจึงมี "หอ" เป็นเรือนไม้เล็กๆ ปลูกอยู่ระหว่างทางแยกสำหรับเป็นที่อยู่ของเสื้อบ้าน การสืบชะตาบ้านนั้นมักนิยมทำกันก่อนวันเข้าพรรษา คือก่อนจะถึงวันสืบชะตา จะมีการประดับประดา "หอ" ให้สวยงามด้วยต้นกล้วยใช้เป็นซุ้มประตูมีช่อตุงปักอยู่รอบๆ หอและสายสิญจ์โยงและมีการสังเวยหอด้วยอาหารคาวหวาน ดอกไม้ ธูปเทียน หมากพลู เมี่ยง บุหรี่พิธีสืบชะตาบ้านจะเริ่มจากการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์และจะสวดชัยมงคลคาถาประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ชาวบ้านที่ไปร่วมพิธีเอาความเป็นสิริมงคลต่อจากนั้นมักมีการสวดขับไล่เสนียดจัญไรไปจากหมู่บ้านเพื่อนำความร่มเย็นมาสู่
พิธีสืบชะตาคนทางเหนือจะมีความเชื่อที่ว่าจะทำให้มีอายุยืนนานขึ้นพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บมีความสุขความเจริญ มักนิยมจัดทำให้แก่ผู้เฒ่าสำหรับสืบชะตาคนนั้นมักทำได้ทุกโอกาส เช่น มีผู้เฒ่าผู้แก่หายเจ็บป่วยใหม่ๆหรือผ่านพ้นเคราะห์หามยามร้ายไปใหม่ๆแต่แท้จริงแล้วถือว่าการสืบชะตาเป็นการให้กำลังใจแก่ผู้ทำพิธีสามารถกระทำในบ้านกล่าวกันว่า... ในสมัยโบราณมีเครื่องสังเวยหลายชนิด เช่น กระบอกข้าว กระบอกทรายกระบอกน้ำ สะพาน ลวดเงิน ลวดทอง เบี้ยแถว เบี้ยหมากแถวส่วนในสมัยปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนให้มีแต่ผลไม้ เช่น กล้วย อ้อย มะพร้าว ช่อตุงไม้ค้ำเท่าอายุและให้เกินไว้ 1 อัน จะเป็นการต่ออายุให้ยาวและมีไม้ค้ำสูงเท่าผู้รับการสืบชะตา ทำสะพานเล็กๆ ด้วยไม้รวกนำเอาของทั้งหมดมาทำเป็นกระโจม ปลายด้ายสายสิญจน์โยงไว้สวมเขาให้ผู้ที่จะเข้าร่วมสืบชะตานั่งในกระโจมมีด้ายสายสิญจน์โยงที่ศีรษะและกระโจมปลายด้ายสายสิญจน์โยงไว้ที่บาตรน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งที่พระสงฆ์จะทำพิธีสวดถือไว้ด้วย
|
ประเพณีเดินขึ้นดอยนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ
|
|
|
ประวัติ / ความเป็นมา
ชาวล้านนาโดยเฉพาะชาวเชียงใหม่นั้น มีความผูกพันกับพระศาสนาเป็นอย่างยิ่งศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธาทั้งมวลนั้นแห่งหนึ่ง คือ พระธาตุดอยสุเทพสำหรับประเพณีการเดินขึ้นดอยสุเทพนั้น คนเฒ่าคนแก่ได้ถ่ายทอดให้ฟังว่า "คงจะมีการเริ่มกันตั้งแต่เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่องค์พระบรมสารีริกธาตุวัดสวนดอกแยกออกเป็น 2 องค์ ทำให้พระเจ้ากือนา กษัตริย์ผู้ครองราชย์สมัยนั้น คิดหาสถานที่ที่จะสร้างวัดขึ้น เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอีกองค์หนึ่งจึงทรงทำการเสี่ยงทายในวันวิสาขบูชา วันเพ็ญเดือน 6 ของปีนั้นทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคล ถ้าช้างไปหยุด ณ จุดใด ก็จะใช้สถานที่นั้นเป็นที่สร้างวัดเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ช้างเสี่ยงทายเริ่มเดินออกจากวัดสวนดอก บ่ายหน้าขึ้นสู่ดอยสุเทพไปจนถึงยอดชั้นที่ 1 ชื่อดอยหมากขนุน หรือดอยช้างนูน และขึ้นต่อไปถึงยอดชั้นที่ 2 ชื่อดอยสนามยอดหรือดอยสามยอด ระหว่างทางช้างเกิดสั่นและหยุดพักช่วงหนึ่งพระเจ้ากือนาจึงโปรดให้สร้างวัดขึ้น ณ จุดที่ช้างพัก ปัจจุบันคือวัดผาลาดเมื่อช้างหายเหนื่อยก็ลุกเดินต่อมุ่งหน้าไปจนถึงชั้นที่ 3 ชื่อว่า ดอยสุเทพซึ่งขณะนั้นมีฤาษีวาสุเทพนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำ ช้างก็ไปหยุดและตายที่นั่นพระเจ้ากือนาจึงทรงให้สร้างวัด พระธาตุดอยสุเทพขึ้นตรงจุดนั้นและเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเจดีย์และในปัจจุบันมีการปั้นรูปช้างอยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย
จากจุดที่ช้างเดินจากวัดสวนดอกไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดเส้นทางที่เรียกว่า ด่านช้างภายหลังจากที่สร้างวัดพระธาตุดอยสุเทพเสร็จแล้วพระเจ้ากือนาก็ทรงใช้เส้นทางดังกล่าวนี้เดินขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพจนกลายมาเป็นประเพณีเดินขึ้นนมัสการพระธาตุดอยสุเทพสืบต่อมา ด้วยเชื่อว่าจะทำบุญให้ได้กุศลแรงจะต้องเดินขึ้นไปทำบุญที่วัด
ประเพณีเดินขึ้นนมัสการพระธาตุดอยสุเทพเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นเอกลักษณ์พิเศษของชาวล้านนา ต่อมาจุดเปลี่ยนแปลงของประเพณีเกิดขึ้นเมื่อปี 2477 เมื่อพระครูบาศรีวิชัยร่วมกับชาวล้านนาสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพเพราะเส้นทางเดิมที่ใช้เดินขึ้นดอยระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ลักษณะเป็นทางเดินเท้าทั้งสูงชันและคับแคบ ดังนั้นเมื่อเดินทางไปถึงก็จะต้องพักแรมอยู่นมัสการอบรมสมโภชเป็นเวลาหลายวันถึงจะเดินทางกลับบ้านเส้นทางที่ครูบาศรีวิชัยสร้างขึ้นนั้น ชื่อ ถนนศรีวิชัยเริ่มจากวัดสวนดอกวิ่งไปตามถนนสุเทพ ผ่านวัดผาลาดไปยังพระธาตุดอยสุเทพซึ่งในตอนแรกที่ทำถนนเป็นถนนดินลูกรัง ต่อมามีการปรับปรุงเป็นถนนลาดยางในปี 2524 เมื่อพระธาตุดอยสุเทพเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ตามเส้นทางระหว่างถนนศรีวิชัยไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพ พระครูบาศรีวิชัยและชาวพุทธได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นอีก 3 วัด คือ วัดโสดาบรรณ หรือวัดศรีโสดา วัดสักกินาคาปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโครงการควบคุมไฟป่าภูพิงค์ และวัดอนาคามีโดยวัดสักกินาคาและวัดอนาคามีถูกทำลายไปแล้ว
พระครูบาศรีวิชัยได้เปรียบการเดินทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพไว้ว่าเป็นเสมือนการเดินทางไปสู่การตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเปรียบเทียบวัดพระธาตุดอยสุเทพ คือวัดอรหันต์ ลักษณะการเดินทางจะเดินด้วยเท้าถือประทีป ธูปเทียน เป็นริ้วขบวนประกอบด้วย พระสงฆ์เดินนำหน้าสวดมนต์และประชาชนเดินตามหลัง โดยเริ่มขบวน ณ วัดโสดาบรรณ หรือ วัดศรีโสดาและนมัสการวัดสักกินาคม และวัดอนาคามีและเดินทางขึ้นไปนมัสการวัดพระธาตุดอยสุเทพหลังจากนั้นก็บำเพ็ญศีลวิปัสสนาทำบุญตักบาตรในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วจึงเดินทางกลับ จึงถือว่าได้อานิสงส์แรงหรือได้ทำบุญมากนั่นเอง
กำหนดงาน
วันวิสาขบูชาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ที่www.tat.or.th
กิจกรรม / พิธี
จากการที่มีถนนศรีวิชัยแล้วนั้นเส้นทางตั้งแต่อดีตที่พระเจ้ากือนาได้ใช้เดินขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพจึงไม่มีใครใช้ทุกคนจึงหันมาใช้เส้นทางถนนศรีวิชัยแทนแต่ประเพณีการเดินขึ้นนมัสการพระธาตุดอยสุเทพในวันวิสาขบูชายังคงมีอยู่แต่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยเดินขึ้นไปตามถนนที่พระเจ้ากือนาได้เสี่ยงทายช้างเปลี่ยนมาเป็นทางถนน เริ่มที่ตอนเย็นของวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 เรื่อยไปจนถึงเช้าของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พุทธศาสนิกชนที่เปี่ยมด้วยศรัทธาจากทั่วทุกสารทิศจะทยอยกันมาอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงการเดินทางขึ้นดอยสุเทพเกิดขึ้นหลังจากที่มีการตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นในปี 2524 โดยจุดมุ่งหมายของอุทยานแห่งชาติต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินอกจากการอนุรักษ์ธรรมชาติแล้ว ยังเป็นการศึกษาวิจัยและยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน ดังนั้นในสมัยก่อนที่มีการเดินขึ้นดอยสุเทพกัน อาจจะเป็นเฉพาะผู้ที่ต้องการจะขึ้นไปทำบุญยกเว้นชาวเขา เชื่อว่าสมัยก่อนคนเชียงใหม่คงจะไม่มีใครเดินขึ้นดอยสุเทพไปเพื่อเที่ยวหรือพักผ่อนจะขึ้นไปก็ต่อเมื่อไปทำบุญเท่านั้นทุกคนควรละเว้นอบายมุขจนกระทั่งมีการตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติมีการอำนวยความสะดวกและมีการประชาสัมพันธ์ จึงทำให้คนเชียงใหม่โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาว นิยมขึ้นไปวัดพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อพักผ่อนตามน้ำตกจุดชมวิวต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการคมนาคมที่สะดวก รถยนต์รถจักรยานยนต์จึงเป็นพาหนะที่พากันขึ้นไปแทนด้วยการเดินเท้าซึ่งก็ถือว่ายังมีศรัทธาอยู่ แต่ที่ไม่สมควรคือบรรดาวัยรุ่นกลับขึ้นดอยด้วยความสนุกเฮฮา ดื่มสุราเล่นดนตรีก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้อื่น วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญทางศาสนา
ปัจจุบันทางศูนย์สื่อความหมายธรรมชาติได้จัดโครงการรณรงค์ฟื้นฟูประเพณีเดินขึ้นนมัสการพระธาตุดอยสุเทพขึ้นใหม่ในปี 2535 และได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือเขต 1 เชียงใหม่ และจังหวัดเชียงใหม่โดยยึดถือเอาประเพณีดั้งเดิมมาเป็นต้นแบบและผสมผสานใหม่ให้เป็นแนวทางที่เหมาะสมเช่น ไม่มีขบวนอย่างเช่นในสมัยพระเจ้ากือนาซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่มีการรณรงค์ฟื้ฟูประเพณีที่มีงามทางศาสนาดังกล่าวขึ้นมาใหม่โดยผสมผสานกิจกรรมการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรมตลอดจนการปลูกฝังให้เกิดความรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติที่เหลืออยู่
|
|
|
|
|
ประวัติ / ความเป็นมา
ประเพณีปอยส่างลองเป็นประเพณีที่เดี่ยวกับการบวชของชาวไทยใหญ่ที่สืบทอดติดต่อกันมาเป็นเวลานานถือว่าเป็นการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ ได้อานิสงส์มาก
คำว่า "ส่างลอง"เป็นภาษาไทยใหญ่ เกิดจากคำผสมระหว่าง "ส่าง" แปลว่า สามเณร และคำว่า "ลอง" แปลว่าผู้เป็นใหญ่เหนือมนุษย์หรือเทพบุตร หรือผู้เป็นหน่อเนื้อของผู้วิเศษ คำเต็มคือ "อลอง" เมื่อผสมกับคำว่า "ส่าง" เสียงอะที่อยู่หน้ากร่อนหายไปสันนิษฐานว่าเป็นภาษาพม่าที่นำมาใช้ภาษาไทยใหญ่
อีกนัยหนึ่งคำว่า "ส่างลอง" เทียบได้กับคำว่า "ลูกแก้ว" ในภาษาถิ่นล้านนาประเพณีทำบุญส่างลอง เรียกว่า ปอยส่างลอง คำว่า "ปอย" คืองานอันเป็นมงคลยิ่งใหญ่ในการบรรพชา หรือบวชลูกแก้วของชาวล้านนา
ส่วนประวัติความเป็นมามีกล่าวไว้หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งคือ ในสมัยอดีตกาล ณเมืองหนึ่งมีพระมหากษัตริย์ มีโอรสทรงพระนามว่า "จิตตะมังชา" ครั้นโอรสมีอายุได้ 10 ชันษา พระบิดาก็มุ่งหวังจะให้โอรสได้ผนวชเป็นสามเณรแต่พระองค์ไม่ทรงบังคับแต่อย่างใด ความนี้ล่วงรู้ไปถึง "จิตตมังชาโอรส"จึงได้ตัดสินใจขอผนวชเอง ทำให้พระราชบิดาทรงปลาบปลื้มมากรับสั่งให้มีการฉลองอย่างยิ่งใหญ่ตลอด 7 วัน 7 คืน ได้แห่ส่างลองจิตตะมังไปรอบเมืองและไปหาพระพุทธเจ้า
สามเณรจิตตมังชาผนวชอยู่กับพระพุทธเจ้าเป็นเวลานานศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแตกฉานและได้สำแดงบุญบารมีเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วเช่นครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสร็จไปเยี่ยมพระประยูรญาติ ณ เมืองกบิลพัสดุ์พระนางปชาบดีโคตมีได้ทอผ้าจีวรด้วยเส้นทองคำ 2 ผืน ถวายแด่ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงรับผืนเดียวที่เหลือไม่มีสาวกองค์อื่นกล้ารับแต่สามเณรจิตตมังชากล้ารับทำให้เกิดเสียงวิจารณ์เป็นอันมากว่าสามเณรจิตตะมังชายังเยาว์วัยเกินไปไม่สมควรรับ ความทราบถึงพระพุทธเจ้าจึงจัดให้สาวกมาประชุมกัน แล้วพระองค์ทรงโยนบาตรขึ้นไปในอากาศ พร้อมกับตรัสว่าสาวกองค์ใดจะมีความสามารถรับบาตรนี้ได้ ปรากฏว่าผู้ที่สามารถรับบาตรนี้ได้คือสามเณรจิตตะมังชาได้เหาะไปรับบาตรมาถวายพระพุทธเจ้า แสดงให้เห็นว่าเหมาะที่จะรับจีวรด้ายทองคำ และเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า สมัยพุทธกาลที่เมืองแห่งหนึ่งมีงานปอยส่างลองโดยคหบดีเศรษฐีผู้มีเงินทองหลายคนร่วมกันจัดงานแต่มีครอบครัวหนึ่งกำพร้าพ่อเหลือแม่กับลูกชายที่มีรูปร่างอัปลักษณ์น่าเกลียดไม่มีใครอยากคบด้วยลูกชายอยากเป็นส่างลองมาก แต่แม่ยากจนไม่สามารถหาเงินมาจัดงาน "ปอยส่างลอง" ได้พร้อมทั้งถูกพูดจาถากถางตลอดว่า "ยากจนแล้วอย่างเป็นส่างลอง"ยิ่งใกล้ถึงวันรับส่างลอง เสียฆ้องกลองบ้านเจ้าภาพทำให้ทั้งแม่และลูกเป็นทุกข์มากครั้นหมดปัญญาจะหาเงินมาร่วมจัดงานด้วยเรื่องนี้ร้อนไปถึง "บุนสาง" หรือพระพรหมผู้มีหูตาทิพย์ เมื่อทราบจึงมีความคิดที่จะช่วยทั้งสองจึงแปลงร่างเป็นชายแก่มอบเงินทองให้ แต่ก็ติดขัดที่ลูกชายรูปร่างอัปลักษณ์พระพรหมก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงจะช่วยเอง
จนถึงวันรับส่างลองเมื่อแต่งชุดส่างลองแล้ว พระพรหมก็เนรมิตรูปร่างให้ใหม่กลายเป็นส่างลองที่สวยงามแต่งคล้ายเจ้าชายมีเครื่องประดับสวยงาม เพื่อแห่ส่างลองไปรอบๆ เมืองผู้คนพบเห็นต่างก็ประทับใจ กล่าวชมความสวยงามและน่ารักของส่างลองเป็นอันมากจวบจนเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วก็อยู่ในเพศบรรพชิตต่อไป
นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การจัดงาน "ปอยส่างลอง" จะได้อานิสงส์มากถ้าได้บวชลูกตนเองเป็นสามเณรได้อานิสงส์ 7 กัลป์ถ้าบวชลูกคนอื่นได้อานิสงส์ 4 กัลป์ถ้าได้อุปสมบทลูกตัวเองเป็นพระภิกษุได้อานิสงส์ถึง 12 กัลป์อุปสมบทลูกคนอื่นเป็นพระภิกษุได้อานิสงส์ 8 กัลป์ดังนั้นชาวไทยใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะยากดีมีจนก็ต้องพยายามจัดงานปอยส่างลองให้ได้
กำหนดงาน
นิยมจัดช่วงโรงเรียนปิดภาคเรียน และเป็นช่วงที่ว่างเว้นจากการทำไร่ทำนามีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝนไม่ตกสะดวกในการเดินทางไปมาหาสู่กันและเป็นช่วงที่เก็บผลผลิตจากไร่ เช่น กระเทียมถั่วเหลือง ออกจำหน่ายและเป็นเงินทุนในการจัดงาน
สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ที่
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทัวร์แพ็คเก็จภาคเหนือ ( Package Tours Northern )
เชียงใหม่-เชียงราย-ลำพูน-ลำปาง-ปาย-แม่ฮ่องสอน
Executive - VIP Tours
ทัวร์ 1 วัน เช้า-เย็น เขียงใหม่-เชียงราย
ทัวร์ธรรมชาติศึกษา เดินป่า ขี่ช้าง ล่องแพ
ข้อมูลท่องเที่ยวภาคเหนือ
กิจกรรม / พิธี
วิธีการจัดงานบวชเณรของชาวไทยใหญ่นั้น มีวิธีบวช 2 วิธี คือ แบบที่เรียกว่า "ข่ามดิบและแบบส่างลอง" แบบข่ามดิบ เป็นวิธีการง่ายๆประหยัดไม่ต้องใช้เวลาในการเตรียมงาน และไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก วิธีการคือเมื่อตกลงกันว่าจะนำเด็กมาบรรพชาเป็นสามเณร พ่อแม่จะโกนหัวเด็กหรือนำเด็กไปโกนหัวที่วัด นุ่งขาวห่มขาวเตรียมเครื่องไทยทานอัฏฐบริขารที่จำเป็นต้องใช้ในพิธีบรรพชาที่วัด เป็นอันเสร็จพิธี
แบบส่างลอง เป็นวิธีที่ต้องเตรียมงานกันนาน ค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลา 3-5 วันมีการเชิญผู้มาร่วมงานจำนวนมาก มีขั้นตอนมากมาย คือ หลังจากเตรียมงานแล้วก็จะนำเด็กไปโกนหัวแต่งตัวเป็นส่างลองหรือลูกแก้ว แห่ไปขอขมาที่ต่างๆแห่เครื่องไทยทานจากหมู่บ้านไปสู่วัด แห่ส่างลองจากบ้านไปทำพิธีขอบรรพชาที่วัดและมีการเฉลิมฉลองกันที่วัดหรือที่บ้านอีกวันหนึ่งจึงจะเสร็จพิธี แบบส่างลองนี้เป็นที่นิยมจัดกันมากทุกหมู่บ้านและท้องถิ่นด้วย
การจัดงานส่างลองมีขั้นตอน ดังนี้
ขั้นเตรียมงาน ก่อนถึงพิธีประมาณครึ่งเดือนถึง 3 เดือน หรืออาจจะน้อยวันกว่านี้แล้วแต่ความใหญ่โตของงาน จะทำการเตรียมข้าวตอก (ทำจากข้าวเหนียว)เพื่อใช้เป็นเครื่องสักการะ และนำไปคลุกกับน้ำอ้อยเชื่อมปั้นเป็นก้อนขนาดโตพอประมาณเรียกว่า "ข้าวแตกปั้น" สำหรับเป็นของหวานและไทยธรรม เตรียมบุหรี่มี 2 ชนิด คือยาฉุนกับขี้ยาฉุน มวนจากยาสูบพื้นเมืองด้วยใบตองกล้วยอบแห้งหรือใยกาบต้นหมากส่วนบุหรี่ขี้โยมวนจากยาฉุนผสมแก่นไม้ไคร้สับหรือเปลือกมะขามคลุกน้ำอ้อยและมะขามเปียกตากแห้ง เป็นบุหรี่รสจืดสำหรับผู้หญิงสูบเพื่อใช้ต้อนรับแขกที่มาร่วมงานและเป็นเครื่องไทยธรรมแต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นบุหรี่ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด
เครื่องไทยธรรมและอัฐบริขาร พอใกล้ถึงกำหนดเวลาพิธี 7 วันมีการเตรียมตกแต่งเครื่องไทยธรรมและอัฏฐบริขาร เช่น จัดทำต้นข้าวแตกโดยนำข้าวแตกมาห่อด้วยกระดาษสาผูกติดกับธงสามเหลี่ยมเป็นช่อๆแล้วนำไปผูกไขว้เป็นคู่ๆ ติดกับลำไม้ไผ่หรือลำไม้รวกยาวประมาณ 5-6 เมตรห่อข้าวแตกนี้จะนำมาแจกผู้เข้าพิธีร่วมพิธีในวันสุดท้ายเพื่อใช้เป็นเครื่องสักการะต่างๆ ดอกไม้ธูปเทียน สำหรับอัฏฐบริขาร เช่น บาตร จีวรเสื่อ หมอน ผ้าห่ม จาน ช้อน เครื่องกรองน้ำ มีดโกน ฯลฯแล้วนำทั้งหมดมาตกแต่งด้วยไหมพรม ถักตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆเป็นผืนหุ้มอุปกรณ์เหล่านั้น นำไปผูกติดกับคานไม้ยาวประมาณ 3 เมตรเพื่อสะดวกในการให้คนหามนำเข้าขบวนแห่ในวันพิธีเครื่องไทยธรรมนอกจากนี้ยังต้องมีการเตรียมสถานที่ซี่งมักใช้ที่วัดและถ้าเป็นพิธีใหญ่จะต้องมีการปลูกสร้างปะรำ รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ให้ครบถ้วนรวมทั้งต้องจัดเตรียมเครื่องทรงของลูกแก้ว รวมไปถึงเครื่องประดับตกแต่ง เช่น สร้อยแหวน ชฎา เป็นต้น
ขั้นตอนการเป็นลอง หรืออลองเป็นช่วงที่สมมติว่าเป็นกษัตริย์ เช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะ ดำรงฐานะก่อนผนวชเริ่มจากวันแฮก คือ วันเริ่มแรกของงานนั่นเอง ส่วนมากเริ่มตั้งแต่เช้ามืดตอนเย็นก่อนวันแฮกผู้ที่ออกบวชต้องไปขออนุญาตบิดา มารดา โกนหัว นุ่งขาวสมาทานเบญจศีลก่อนเข้านอน คืนนั้น รุ่งเช้าประมาณ 05.00 น. ให้ผู้ที่บวชอาบน้ำเงินน้ำทองได้แก่ น้ำแช่เงินทอง และเครื่องหอม หรือมะกรูด ส้มป่อย ฯลฯเสร็จแล้วพากันไปวัดเพื่อสมาทานเบญจศีล และเริ่มงานบวชอลองต่อไปหลังจากการรับศีลแล้ว บริวาร(คนแต่งตัว) ของอลอง จะแต่งหน้าแต่งเครื่องทรงให้ใหม่เมื่อแต่งเสร็จแล้วถือว่าเป็นอลองเต็มตัวการปฏิบัติต่ออลองในช่วงต่อไปนี้จะสมมติเหมือนการปฏิบัติต่อกษัตริย์อลองจะไม่มีโอกาสเหยียบดินจนกว่าจะถึงวันบรรพชาอุปสมบท
และจะไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และโบราณสถานต่างๆ ภายในวัดและเดินทางไปยังศาลหลักเมือง หรือเจ้าเมื้อในภาษาถิ่นเพื่อกราบคารวะเจ้าเมืองหรือศาลหลักเมืองประจำหมู่บ้านเสมอเป็นสถานที่ที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือมาก เชื่อกันว่าเป็นผู้ครองหมู่บ้านให้อยู่เป็นสุข จากนั้นจะไปกราบนมัสการเจ้าอาวาสวัดต่างๆในหมู่บ้าน หรือในหมู่บ้านใกล้เคียง
หลังจากนั้นอลองจะไปเยี่ยมตามบ้านญาติ เสมือนเป็นการประพาสต้นเจ้าของบ้านที่อลองไปเยี่ยมจะถือว่าเป็นโชค เป็นเกียรติและเป็นบุญที่ได้มีโอกาสได้ต้อนรับจะเตรียมอาหารว่างถวายอลองและเลี้ยงบริวารด้วยความเต็มใจญาติผู้ใหญ่จะผูกข้อมืออวยชัยให้พรแก่อลองการผูกข้อมือสมัยก่อนใช้เงินเหรียญผูกกับด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือปัจจุบันเหรียญหายาก ให้ธนบัตรและเหรียญธรรมดาแทนก็ได้
ต่อจากนั้นจะเป็นวันข่ามแขก คือ วันรับแขกนั่นเอง เป็นวันที่ญาติพี่น้องจากหมู่บ้านอื่นมาร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงกันวันนี้เจ้าภาพต้องเตรียมข้าวปลาอาหารไว้มากกว่าปกติญาติที่มาร่วมงานจะผูกข้อมืออวยพรให้อลอง ชื่นชมบารมีอลอง ช่วยงานและร่วมสนุกสนานต่างๆ เป็นการเฉลิมฉลอง กิจกรรมการบันเทิงมีการบรรเลงเครื่องดนตรีคือ กลองมองเซิง เป็นเครื่องดนตรีมีอุปกรณ์มากกว่ากลองก้นยาว (ชุดเคลื่อนที่เร็ว)นิยมจัดไว้ให้บรรเลงกันที่บ้านเจ้าภาพ และบรรเลงร่วมขบวนแห่เครื่องไทยธรรมประกอบด้วยฆ้อง 2 หน้า ฆ้องขนาดใหญ่ ฆ้องขนาดกลาง และฆ้องขนาดเล็ก อีกประมาณ 6-8 ใบฉาบใหญ่ ฉิ่ง
ตอนกลางคืนจะมีการโต้กลอนสดหรือร่ายสดภาษาถิ่นเรียกว่า "เฮ็ดกวาม" คำว่า "เฮ็ด" แปลว่า ทำ "กวาม" แปลว่าความหรือคำ หรือเพลง รวมแล้วแปลว่า ทำถ้อยคำ หรือทำเพลง ทำกลอนนั่นเองตอนหัวค่ำเป็นการว่ากลอน หรือร่าย ชมเครื่องไทยธรรม สรรเสริญเจ้าภาพยกย่องเชิดชูมักดำเนินงานด้วยศิลปินอาวุโสหรือผู้มีประสบการณ์มากตกดึกเป็นการโต้คารมกันด้วยเชิงกลอนหรือร่ายกลอนสดระหว่างชายหญิงการโต้คารมนี้มีระหว่างงานทุกคืนไม่เฉพาะแต่วันรับแขกเท่านั้น และโต้กันจนสว่างหรือจนกว่าจะเหน็ดเหนื่อยเลิกรากันไปเอง ทำนองกลอนหรือร่ายเป็นทำนองเพลงไทยใหญ่มีหลายทำนอง เช่น "ล่องคง" เป็นทำนองช้า จังหวะหวานใช้สรรเสริญยกย่องหรือเกี้ยวพาราสี "ปานแซง" เป็นทำนองจังหวะเร็วใช้เป็นเพลงเดินในละครไทยใหญ่ และโต้คารมกันในลักษณะต่อว่าต่อขานกัน "นกกือ"เป็นทำนองเลียนจังหวะเสียงนกใช้ในบทของผู้เป็นใหญ่ หรือศักดิ์สิทธิ์ เช่น ฤาษีเป็นต้น
ก่อนวันบรรพชา หรืออุปสมบทมีการแห่ไทยธรรมเป็นขบวนใหญ่ เครื่องไทยธรรมทุกชิ้นจะนำมาแห่พร้อมกันในวันนี้ เหมือนกับการเลียบนครของอลอง ขบวนเริ่มด้วยผู้อาวุโสแต่งชุดขาวถือขันข้าวตอกดอกไม้นำหน้า ถัดมาเป็นกังสดาลใหญ่ตีเป็นระยะๆต่อด้วยชุดดนตรีกลองมองเซิง ตามด้วยขบวนไทยธรรม หากมีดนตรีพื้นเมือง เช่น สะล้อ ซอซึง ก็จะนำมาบรรเลงคั่นขบวนช่วงนี้ด้วย ท้ายขบวนเป็นคณะอลอง และบริวาร บรรเลงดนตรี (กลองก้านยาว) ฟ้อนรำปิดท้าย แห่ขบวนรอบหมู่บ้านแล้วนำไปไว้ที่วัดหากยังไม่ประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบทในวันนี้กิจกรรมต่อเนื่องที่วัดมีการถ่อมลีค คือการฟังธรรมโดยบัณฑิตหรือผู้ที่มีความรู้ด้านหนังสือเป็นผู้อ่านผู้อ่านจะนั่งบนอาสนะที่จัดให้ข้างหน้าพระประธานในวิหาร หรือศาลาการเปรียญผู้ฟังนั่งเป็นแถวถัดออกมา หนังสือที่ใช้อ่านเป็นสมุดข่อยขนาดใหญ่เขียนภาษาไทยใหญ่เนื้อหาเป็นชาดกทางพุทธศาสนาส่วนอลองก็จะถูกบริวารนำไปเยี่ยมตามบ้านญาติที่ยังเหลือหรือพักผ่อนตามอัธยาศัย
ก่อนบรรพชาอุปสมบท มักจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างหนึ่ง คือคณะบริวารจะนำอลองไปซุกซ่อนไว้ไม่ยอมให้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเพราะอยากให้เป็นอลองต่อไปนานๆเจ้าภาพต้องนำข้าวตอกดอกไม้ไปตามง้อขอให้นำอลองมาบรรพชาอุปสมบทตามกำหนดการ
จากนั้นก็จะเข้าสู่พิธีบรรพชาอุปสมบทเป็นพิธีทางสงฆ์ปฏิบัติเหมือนกันกับท้องถิ่นอื่นทุกประการ การบรรพชานิยมทำในตอนบ่ายส่วนการอุปสมบทมักทำในตอนเช้ามืดเลียนแบบการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ
ปัจจุบันประเพณีการบวชส่างลองถูกตัดทอนไปมาก เช่น จำนวนวัน ขั้นตอนเพราะเสียค่าใช้จ่ายมาก |
|